ลงทุนให้ถูกทิศ เมื่อเศรษฐกิจไทยไม่สดใส


ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด

17 มิถุนายน 2568


ทุกวันนี้ สิ่งที่นักลงทุนมักจะได้ยินได้ฟังคือ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตต่ำ จากหลากหลายปัจจัย อาทิ หนี้ภาคครัวเรือนอยู่ในระดับสูง โครงสร้างเศรษฐกิจไทยไม่ตอบโจทย์ทิศทางเศรษฐกิจโลก ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ปัญหาสงครามการค้าส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเติบโตในอัตราที่ชะลอลง ฯลฯ

ปัจจัยดังกล่าวเหล่านี้ ล้วนเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งมีสูตรการคำนวณ ดังนี้
จีดีพี = การบริโภคภาคเอกชน + การลงทุนภาคเอกชน + การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ + (การส่งออก - การนำเข้า)
โดยหากพิจารณาตามองค์ประกอบในการคำนวณจีดีพี อาจประเมินได้ ดังนี้
การบริโภคภาคเอกชนซึ่งมีสัดส่วนราว 60% ของจีดีพี มีแนวโน้มที่จะเติบโตต่ำ โดยหลายฝ่ายคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนอาจเติบโตราว 2 – 2.5% ในปีนี้ ชะลอลงจากโต 6.9% ในปี 2566 และโต 4.4% ในปี 2567 ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นผลมาจากหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง  ทั้งนี้ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าที่หลายฝ่ายประเมินไว้ เนื่องจาก 1) เกษตรกรมีแนวโน้มมีรายได้น้อยลง เนื่องจากอากาศที่เหมาะสมส่งผลให้ผลผลิตออกมามาก เป็นผลให้ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มตกต่ำ และอินเดียกลับมาส่งออกข้าว ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกลดลง 2) ฤดูฝนที่มาเร็วกว่าปกติ ส่งผลให้คนออกมาใช้จ่ายน้อยลง ร้านค้าตามตลาดนัดขายของได้น้อยลงและอาจได้รับความเสียหายจากผลของพายุฝน 3) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง และจำนวนคนไทยที่เดินทางท่องเที่ยวลดลงจากการประหยัดการใช้จ่ายและผลกระทบจากฝนตก ส่งผลให้การใช้จ่ายและการกระจายรายได้ลดลง 4) การเลิกจ้างงานของหลายบริษัท ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความสามารถในการใช้จ่ายลดลง

การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัว เนื่องจากความไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงการเข้ามาแข่งขันของสินค้าจีนซึ่งมีราคาถูกกว่า  ทั้งนี้ถึงแม้ยอดขอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่การลงทุนจริงอาจไม่ได้สูงมากอย่างที่มีการขอการส่งเสริมไว้

การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยหลักที่จะสามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาโครงการของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจหลายโครงการได้ทยอยเสร็จสิ้นไปแล้ว ในขณะที่โครงการลงทุนขนาดใหญ่ยังไม่มีแนวโน้มจะเริ่มลงทุนในเร็วๆนี้ ดังนั้น ที่คาดหวังกันว่าการลงทุนจากภาครัฐจะมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจก็อาจไม่เป็นไปตามคาด

การส่งออกสินค้าในช่วง 4 เดือนแรกของปีเติบโตแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี เป็นการเติบโตจากปัจจัยชั่วคราวจากการที่ผู้ส่งออกเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ  ดังนั้น การส่งออกอาจจะชะลอตัวลงแรงในช่วงครึ่งหลังของปีจากการที่ประเทศคู่ค้ามีสินค้าในสต็อกอยู่ในระดับสูง และตัวเลขส่งออกในช่วงต้นปีหน้าจะได้รับผลกระทบจากฐานสูงในปีนี้

จะเห็นได้ว่า ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงทุกหมวดหลัก  นอกจากนี้ ไทยมีปัญหาโครงสร้างประชากรในระยะยาวจากการที่ไทยจะประสบปัญหาสังคมผู้สูงอายุในเร็วๆ นี้ และคนรุ่นใหม่นิยมไม่มีบุตร หรือหลายครอบครัวประสบปัญหามีบุตรยาก

อีกหนึ่งปัญหาที่บั่นทอนความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภค ได้แก่ การที่รายได้เพิ่มขึ้นไม่ทันรายจ่าย โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตัวเลขเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับต่ำ กอปรกับผลประกอบการของบริษัทต่างๆเติบโตในอัตราที่น้อยลง ส่งผลให้การปรับขึ้นเงินเดือนเป็นไปในอัตราที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับในอดีต รวมถึงการปรับลงของตลาดหุ้นไทยส่งผลให้ความมั่งคั่งและรายได้จากการลงทุนลดลง ในขณะที่ผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าราคาสินค้าแพงขึ้นมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ ท่ามกลางภาระค่าใช้จ่ายและภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น (เช่น ภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก ภาษีที่ดิน ฯลฯ)

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ทิศทางเศรษฐกิจในปัจจุบันอาจดูไม่สดใสนัก แต่การบริหารจัดการที่ดีจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตได้ดี เนื่องจากไทยมีจุดแข็งในหลายๆด้านเมื่อเทียบกับหลายๆประเทศ เช่น มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี พลังงานไฟฟ้ามีเพียงพอและมีความเสถียรที่จะรองรับธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจยุคใหม่ มีโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วๆสูงที่เอื้อต่อการทำงาน ทรัพยากรธรรมชาติมีความหลากหลาย มีสังคมที่เปิดกว้าง ค่าจ้างแรงงานอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก ค่าครองชีพไม่สูงมาก มีความมั่นคงทางอาหาร ระบบสาธารณสุขอยู่ในอันดับต้นๆของโลก มีความเป็นกลางทางการเมืองในระดับโลก เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ฯลฯ ดังนั้น หากมีการวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมและมีการจัดการที่ดีโดยใช้ข้อได้เปรียบเหล่านี้ เศรษฐกิจไทยก็น่าจะกลับมาเติบโตได้ดีและมีเสถียรภาพในระยะยาว

จากการที่เศรษฐกิจไทยในช่วงนี้มีความเสี่ยงด้านต่ำ ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธปท. จะประกาศลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ดังนั้น การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวจึงมีความน่าสนใจมากขึ้น
ทั้งนี้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ประเมินความเสี่ยงการลงทุนและความสามารถในการรับความเสี่ยงของท่านก่อนการตัดสินใจลงทุน

กองทุนแนะนำ RMF ลงทุนเพื่อเกษียณอายุ | Thai ESG/ Thai ESGX เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมระยะยาวและสนับสนุนการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย | ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
 
พบทุกคำตอบเรื่องเงินที่ Krungsri The Coach คลิกที่นี่







สามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี โทร. 02-657-5757 หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา

ย้อนกลับ

@ccess Mobile Application

ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว