แรงหนุนการกลับมาของตลาดหุ้นจีน


ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด

ณ วันที่ 6 ธันวาคม 2565 ดัชนีฮั่งเส็งของตลาดหุ้นฮ่องกงให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี -18.94% และย้อนหลัง 5 ปี -32.12% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตของตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี -10.64% และย้อนหลัง 5 ปี -2.35%  ในขณะที่เศรษฐกิจจีนเติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยกเว้นไตรมาส 1/2563 ที่เศรษฐกิจหดตัวจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้จีนใช้มาตรการล็อคดาวน์เป็นวงกว้าง  อย่างไรก็ดี ถึงแม้เศรษฐกิจจีนเติบโตต่อเนื่อง แต่ค่า P/E ของตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงอยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปี เนื่องจากตลาดหุ้นจีนเผชิญแรงต้านหลายครั้ง เช่น สงครามการค้ากับสหรัฐ ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ และการระบาดของโควิด ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงซื้อขายที่ค่า P/E ต่ำ เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่อยู่ในระดับสูง โดยในช่วงที่เกิดการระบาดรุนแรงของโควิด ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงซื้อขายที่ P/E ต่ำกว่า 10 เท่า  ในขณะที่ ณ วันที่ 6 ธันวาคม ตลาดหุ้นจีนซื้อขายที่ P/E ประมาณ 13 เท่า และตลาดหุ้นฮ่องกงซื้อขายที่ P/E ประมาณ 11 เท่า

ในหลายเดือนก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ต่างมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน เนื่องจากตลาดปรับตัวลดลงมามาก ส่งผลให้ค่า P/E อยู่ต่ำกว่า 9 เท่า เทียบกับตลาดหุ้นไทยซึ่งอยู่ที่ 17 เท่า  อย่างไรก็ดี จากการที่จีนยึดมั่นในนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งส่งผลให้มีการประกาศใช้มาตรการล็อคดาวน์หลายครั้ง รวมถึงปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงให้ผลตอบแทนน่าผิดหวัง

จากการที่รัฐบาลจีนเริ่มทยอยผ่อนคลายมาตรการโควิดเป็นศูนย์ เช่น การลดระยะเวลาการกักตัวและอนุญาตให้กักตัวที่บ้านได้ การทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ และมาตรการอื่นๆที่ทยอยประกาศออกมา ซึ่งแสดงถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลจีน ถึงแม้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก็ตาม  โดยในปัจจุบัน จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในจีนทยอยลดลงต่อเนื่อง  ทั้งนี้ตลาดคาดว่าจีนจะเริ่มเปิดประเทศในช่วงไตรมาส 2 ของปีหน้า และอาจใช้โอกาสในการจัดเอเชียนเกมส์ที่เมืองหางโจว ระหว่างวันที่ 23 กันยายน – 8 ตุลาคม 2566 ในการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ

หลังจากรัฐบาลจีนประกาศทยอยผ่อนคลายมาตรการสกัดโควิด เพื่อลดแรงกดดันจากประชาชน และเพื่อฉุดให้ภาวะเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ส่งผลให้ดัชนีฮั่งเส็งของตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย ณ วันที่ 6 ธันวาคม ดัชนีฮั่งเส็งปรับขึ้นมากว่า 32% จากจุดต่ำสุดของปีเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ในขณะที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตของตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ปรับขึ้นราว 11% ในช่วงเดียวกัน ทั้งนี้ นอกจากการที่รัฐบาลทยอยผ่อนคลายมาตรการสกัดโควิดแล้ว การที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เริ่มเดินทางออกนอกประเทศหลังจากที่ไม่ได้ออกจากจีนมาตลอดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลจีนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าจะสามารถควบคุมผลกระทบจากการระบาดของโควิดได้

ดังนั้น จึงค่อนข้างมั่นใจได้ว่าตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงจะมีแรงหนุนเชิงบวกจากการที่จีนกลับมาเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น การใช้จ่ายของผู้บริโภคจะกลับมาขยายตัวหลังจากหยุดการใช้จ่ายในช่วงล็อคดาวน์  ในขณะที่ผลกำไรของภาคธุรกิจมีโอกาสกลับมาขยายตัวจากฐานต่ำและอุปสงค์เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ การที่เศรษฐกิจจีนเติบโต ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอตัวหรือเข้าสู่ภาวะถดถอย จะส่งผลให้ขนาดของเศรษฐกิจจีนขยับเข้าใกล้เศรษฐกิจสหรัฐมากขึ้น และหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงมาก รัฐบาลจีนอาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของจีนไม่ได้อยู่ในระดับสูงมากนัก จึงสามารถใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติมและใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การที่เศรษฐกิจจีนและตลาดหุ้นจีนมีขนาดใหญ่มากขึ้นจะส่งผลให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีนในดัชนีหุ้นโลกถูกปรับขึ้น ส่งผลให้กองทุนที่มีการลงทุนทั่วโลกจำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นจีน เพื่อให้ผลตอบแทนของกองทุนสอดคล้องกับดัชนี

อย่างไรก็ดี ถึงแม้เศรษฐกิจจีนมีสัญญาณเชิงบวกจากการเปิดประเทศ แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงอยู่มาก เช่น ปัญหาความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐ ปัญหาในช่องแคบไต้หวัน ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ นอกจากนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ซึ่งอาจส่งผลให้จีนไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจที่ปีละ 5% ได้ แต่หากเศรษฐกิจในเอเชียยังคงเติบได้ดี หรือเศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้ชะลอลงมากอย่างที่หลายฝ่ายกังวล ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจจีนในปี 2566 อาจเติบในอัตราสูงจากผลของฐานต่ำ

ดังนั้น การลงทุนในตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจมากขึ้น แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะถึงแม้เศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงอยู่มาก ทั้งปัจจัยเสี่ยงที่รับทราบอยู่แล้ว และปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะมีเพิ่มเติมในอนาคต นอกจากนี้ หากหุ้นขึ้นร้อนแรงเกินไป รัฐบาลจีนอาจมีมาตรการสกัดการเก็งกำไรในตลาดหุ้นเหมือนที่เกิดขึ้นหลายครั้งในอดีตที่ผ่านมา นักลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นจีนจึงควรรับความเสี่ยงได้สูง และควรศึกษาข้อมูลการลงทุนอย่างละเอียด รวมถึงควรติดตามข้อมูลการลงทุนอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะสามารถปรับการลงทุนได้ทันกับข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน

กองทุนแนะนำที่มีนโยบายลงทุนใน
พบทุกคำตอบเรื่องเงินที่ Krungsri The Coach คลิกที่นี่ 








ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
สามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี  โทร. 02-657-5757
หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา

ย้อนกลับ

@ccess Mobile Application

ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว