วางแผนการลงทุน
หุ้น Defensive หุ้นพักใจที่ควรมีในพอร์ต
ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด
18 สิงหาคม 2568
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูงมากจากปัจจัยหลัก ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะนโยบายในด้านภาษี ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง เพื่อบีบให้ประเทศคู่ค้าเข้าเจรจากับสหรัฐฯ นอกจากนี้ สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงมากขึ้นจากเหตุการณ์สู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ซึ่งส่งผลให้ตลาดกังวลว่าสถานการณ์จะลุกลามบานปลายไปเป็นวงกว้าง และอาจส่งผลต่ออุปทานน้ำมัน และเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านจบลงในเวลาเพียง 12 วัน
ทั้งนี้ ถึงแม้ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงมาก และมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในหลายๆด้าน แต่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลกยังคงเดินหน้าปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทส่วนใหญ่ออกมาดี พื้นฐานเศรษฐกิจของหลายประเทศยังคงแข็งแกร่ง และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยมีน้อยลง นอกจากนี้ เศรษฐกิจยุโรปและเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าที่คาด และผลกระทบจากมาตรการของประธานาธิบดีทรัมป์มีความรุนแรงน้อยกว่าที่คาด กอปรกับนักลงทุนประเมินว่ามาตรการของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นเพียงการข่มขู่เพื่อให้เกิดการเจรจา โดยหลังจากหลายประเทศได้ข้อสรุปเกี่ยวกับมาตรการภาษีของสหรัฐ นักลงทุนยังคงกังวลว่าความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ เนื่องจากยังมีรายละเอียดบางส่วนที่ยังไม่ได้ข้อสรุปอย่างสมบูรณ์ และผลกระทบจากมาตรการภาษียังไม่ชัดเจน
สำหรับนักลงทุนในหุ้นที่รับความผันผวนได้ต่ำกว่าความผันผวนของตลาด แต่ยังคงอยากลงทุนในหุ้น 100% แทนการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้หรือถือเงินสด ก็อาจพิจารณากลุ่มหุ้น defensive ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นบริษัทที่มีความมั่นคงและพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจและตลาดน้อยกว่ากลุ่มหุ้นประเภทอื่นๆ สามารถทนทานต่อความผันผวนของตลาดได้ดีทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง มักเป็นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและผลการดำเนินงานค่อนข้างคงที่ โดยหุ้นกลุ่มนี้มักเป็นหุ้นของบริษัทที่ผลิตสินค้าหรือบริการที่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มยาและเวชภัณฑ์ กลุ่มโรงพยาบาล เป็นต้น
จากการที่หุ้นกลุ่ม defensive มีความมั่นคงในผลประกอบการและมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความสม่ำเสมอของผลตอบแทนการลงทุน ไม่ต้องการติดตามข่าวสารการลงทุนอย่างใกล้ชิด รวมถึงนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงการลงทุนในช่วงที่ความไม่แน่นอนในตลาดมีอยู่สูง อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่ม defensive มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่ากลุ่มหุ้นที่มีการเติบโตสูง เช่น กลุ่มเทคโนโลยี ดังนั้น ในภาวะที่เศรษฐกิจมีการขยายตัว หุ้นกลุ่ม defensive มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาด
ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่เป็น VI (Value Investor - นักลงทุนเน้นคุณค่า) เนื่องจากในช่วงนี้ราคาหุ้นบางตัวอาจปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เนื่องจากตลาดมีส่วนลด (discount) ที่อาจเกิดจากความกังวลในบางด้าน เช่น มาตรการลดเงินอุดหนุนในอุตสาหกรรมพลังงาน มาตรการปรับลดสิทธิประโยชน์ในการรักษาพยาบาล ฯลฯ ดังนั้น นักลงทุน VI จึงอาจใช้โอกาสนี้ในการเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่ม defensive ที่มีราคาต่ำกว่าตลาด ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากราคาหุ้นที่อาจปรับขึ้นในอนาคต และได้รับเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว การรวมเทคนิคการลงทุนแบบ VI กับ defensive เข้าด้วยกันจึงเป็นการลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีในอนาคตให้กับพอร์ตการลงทุนไปพร้อมๆกัน
ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนที่เป็น Defensive VI จึงควรเป็นกลุ่มที่เน้นการสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว โดยอาจมองปัจจัยระยะสั้นเป็นเพียงปัจจัยรบกวน (noise) และไม่เน้นที่จะสร้างผลตอบแทนให้ได้มากที่สุด
สำหรับความเสี่ยงของการลงทุนแบบ defensive VI นอกจากความเสี่ยงที่มีในหุ้นเหมือนหุ้นทั่วๆไป เช่น ผลประกอบการ ผลกระทบจากนโยบายและปัจจัยทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ยังอาจมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนมุมมองในการลงทุนซึ่งส่งผลให้เกิดการโยกย้ายของเงินทุน เช่น การย้ายเงินลงทุนสลับไปมาระหว่างหุ้นกลุ่มที่มีการเติบโตสูงกับหุ้นกลุ่ม defensive จึงอาจทำให้ในบางช่วงหุ้นกลุ่ม defensive ให้ผลตอบแทนสูงหรือต่ำกว่าตลาด
ดังนั้น นักลงทุนที่อาจจะไม่ชอบการกลับไปกลับมาของนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ หรือรู้สึกว่าตลาดหุ้นในขณะนี้ผันผวนมากเกินไป อาจพิจารณาปรับพอร์ตการลงทุนเป็นลงทุนในหุ้นกลุ่ม defensive และเติมความเป็น VI เข้าไปในการพิจารณาคัดเลือกหุ้น สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาในการพิจารณาคัดเลือกหุ้นด้วยตัวเอง หรือไม่มีเวลาในการติดตามการลงทุนในหุ้นรายตัว รวมถึงต้องการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ก็อาจพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม defensive เช่น กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มสุขภาพทั่วโลก กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม defensive ทั่วโลก เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนสามารถขอคำแนะนำและคำปรึกษาเพิ่มเติมจากที่ปรึกษาการลงทุน
ทั้งนี้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ประเมินความเสี่ยงการลงทุนและความสามารถในการรับความเสี่ยงของท่านก่อนการตัดสินใจลงทุน
กองทุนแนะนำ คลิก: KFGBRAND-A | KFGBRAND-D | KFHEALTH-A | KFHEALTH-D | KFHHCARE-A | KFHHCARE-D | KFGBRANRMF | KFHHCARERMF
พบทุกคำตอบเรื่องเงินที่ Krungsri The Coach คลิกที่นี่
สามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี
โทร. 02-657-5757 หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
นโยบายกองทุน/คำเตือน
- KFGBRAND / KFGBRANRMF ลงทุนในกองทุนหลัก Morgan Stanley Investment Fund - Global Brands Fund โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่ต่ำกว่า 80% ของ NAV | ระดับความเสี่ยง 6: เสี่ยงสูง
- KFHEALTH / KFHHCARE / KFHCARERMF ลงทุนในกองทุนหลัก JPMorgan Funds - Global Healthcare Fund โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV | ระดับความเสี่ยง 7: เสี่ยงสูง | กองทุนมีนโยบายการลงทุนเฉพาะเจาะจงในหมวดอุตสาหกรรม จึงอาจมีความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสูงกว่ากองทุนรวมทั่วไปที่มีการกระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนการลงทุน
- KFGBRAND / KFGBRANRMF / KFHEALTH ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
- RMF ลงทุนเพื่อเกษียณอายุ ผู้ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน