ปรับพอร์ตลงทุนรับมาตรการภาษีสหรัฐ


ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด

16 เมษายน 2568


จากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) โดยขึ้นภาษีนำเข้า 10% กับทุกประเทศ และเก็บในอัตราที่สูงกว่าสำหรับประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐ ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก ส่งผลให้ในวันจันทร์ที่ 7 เมษายน 2568 ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลกร่วงลงกว่า 10% ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสของสหรัฐร่วงลงแตะ 60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ราคาทองคำร่วงลงแรง เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่ามาตรการภาษีของนายทรัมป์จะนำไปสู่สงครามการค้าที่รุนแรงมากขึ้น และส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย

ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงคาดหวังว่ามาตรการภาษีของสหรัฐมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการเจรจาต่อรอง และหวังว่าบทสรุปสุดท้ายจะไม่เลวร้ายมากนัก โดยนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ระบุว่า อัตราภาษีที่ได้ประกาศไปแล้ว เป็นภาษีขั้นสูงสำหรับประเทศที่ไม่มีมาตรการตอบโต้ และการเจรจาต่อรองจะนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการภาษีในระยะข้างหน้า

ทางด้านจีนได้ประกาศมาตรการตอบโต้โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐเพิ่มอีก 34% พร้อมทั้งระบุว่า จีนจะสู้จนถึงที่สุด และเป็นผลให้สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีจีนเพิ่มเป็น 104% เพื่อเป็นการตอบโต้ที่จีนมีมาตรการตอบโต้สหรัฐ  ในขณะที่ทางด้านสหภาพยุโรป มีบางประเทศเรียกร้องให้มีการตอบโต้สหรัฐ แต่การตอบโต้ของสหภาพยุโรปอาจทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากเป็นการรวมกลุ่มของหลายประเทศที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจแตกต่างกัน และได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของทรัมป์แตกต่างกัน

ในภาวะที่ความไม่แน่นอนในตลาดมีอยู่สูงมากกว่าปกติ นักลงทุนส่วนใหญ่คงไม่แน่ใจว่าควรลงทุนอย่างไรดี  สำหรับคำตอบของคำถามนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยงของท่าน

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ตลอดจนถึงนักลงทุนทั่วไป การเลี่ยงความเสี่ยงน่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้ เพราะถึงแม้รัฐมนตรีคลังสหรัฐได้ระบุว่าอัตราภาษีของประเทศส่วนใหญ่จะไม่สูงกว่าที่ประกาศไปแล้วหากไม่มีมาตรการตอบโต้ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการเก็บภาษีเฉพาะในบางด้าน เช่น ขึ้นภาษีค่าเดินทาง ขึ้นภาษีเฉพาะกับบางอุตสาหกรรม เป็นต้น รวมถึงมีแนวโน้มที่บางประเทศอาจมีมาตรการตอบโต้ และการเจรจาต่อรองกับประเทศคู่ค้าอาจกินเวลาหลายเดือน  ทั้งนี้ นักลงทุนอาจเลี่ยงความเสี่ยงโดยการเข้าลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว เพราะมีโอกาสมากขึ้นที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งของไทยและสหรัฐจะปรับลดลงมากกว่า 1 ครั้ง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาวปรับตัวสูงขึ้น โดยนับตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม กองทุนตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาวให้ผลตอบแทนสะสม (cumulative return) อยู่ระหว่างประมาณ 1% - 4.2% หรือคิดเป็นประมาณ 4% - 17% ต่อปี (annualized return) และหลังจากนายทรัมป์ประกาศใช้ภาษีตอบโต้ ราคาตราสารหนี้ก็ปรับตัวสูงขึ้นอีก  อย่างไรก็ดี กองทุนตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาวมีความผันผวนสูงกว่ากองทุนตลาดเงินและกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น และอาจให้ผลตอบแทนติดลบได้ในบางช่วง

สำหรับนักลงทุนที่มองว่าราคาหุ้นที่ร่วงลงแรงในระยะเวลาอันสั้น และประเมินว่าปัญหาสงครามการค้าจะค่อยๆคลี่คลายลง จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าลงทุนในหุ้น ก็อาจใช้กลยุทธ์ทยอยลงทุนแทนที่จะลงทุนเป็นเงินก้อนใหญ่ในครั้งเดียว เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงหากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาด โดยนักลงทุนควรรับความเสี่ยงได้สูงและต้องยอมรับว่าความเสี่ยงในขณะนี้มีมากกว่าปกติ อีกทั้งต้องสามารถลงทุนในระยะยาวได้

สำหรับตลาดหุ้นที่น่าสนใจในช่วงนี้ กลับเป็นตลาดหุ้นจีน เนื่องจากรัฐบาลจีนได้มีการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับมาตรการภาษีของทรัมป์มาก่อนหน้านี้แล้ว และการที่ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีชัดเจน ทำให้รัฐบาลจีนมีความชัดเจนในการดำเนินนโยบายมากขึ้น โดยรัฐบาลจีนเตรียมประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเน้นการบริโภคภายในประเทศให้มากขึ้น มีมาตรการรักษาเสถียรภาพของตลาดหุ้นโดยให้รัฐวิสาหกิจเข้าซื้อหุ้นคืน สนับสนุนให้กองทุนแห่งชาติเข้าซื้อหุ้นในตลาด เป็นต้น  ทั้งนี้ ในอดีตที่ผ่านมา จีนได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ถึงแม้จะถูกกีดกันด้านเทคโนโลยี แต่จีนก็สามารถพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองจนสามารถแซงหน้าสหรัฐได้ในบางส่วน

ในทางตรงกันข้าม ตลาดหุ้นสหรัฐอาจกลายเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงมากกว่าตลาดอื่นๆ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐมีโอกาสที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย (recession) หรือเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจเติบโตต่ำท่ามกลางเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง (stagflation) มากขึ้น โดยผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้นตามความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ราคาสินค้าเริ่มปรับตัวสูงขึ้นจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษี อัตราการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังจากรัฐบาลสหรัฐเริ่มปรับลดการจ้างงาน ดังนั้น การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐ ซึ่งมีสัดส่วนราว 2/3 ของจีดีพี จึงมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงมาก โดยสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐน่าจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป
ท้ายนี้ คงต้องย้ำว่าการลงทุนในช่วงนี้มีความเสี่ยงมากกว่าปกติ ดังนั้น นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

กองทุนแนะนำ  คลิก: ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
พบทุกคำตอบเรื่องเงินที่ Krungsri The Coach คลิกที่นี่







สามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี โทร. 02-657-5757 หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา

ย้อนกลับ

@ccess Mobile Application

ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว