ลดหย่อนภาษีโค้งสุดท้าย ต้อง RMF หรือ Thai ESG?


ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด

15 ธันวาคม 2568



เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี หลายคนเริ่มวางแผนเพื่อลดหย่อนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมคือการลงทุนในกองทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น กองทุน RMF และ Thai ESG ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดภาษีแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเงื่อนไข สิทธิประโยชน์ และกลยุทธ์การลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

ทำไมต้องลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี?
การลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีเป็นการใช้สิทธิที่กฎหมายให้เพื่อช่วยลดภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเงินที่ลงทุนไม่เพียงช่วยประหยัดภาษี แต่ยังสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ สำหรับในบทความนี้จะเน้นไปที่กองทุน RMF และ Thai ESG

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) 
RMF มีหลายประเภท เช่น กองทุนหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ ผสม ฯลฯ สามารถกระจายความเสี่ยงได้ตามอายุและความเสี่ยงที่รับได้ ผู้ลงทุนสามารถนำเงินลงทุนมาลดหย่อนภาษีได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 30% ของรายได้ และรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กบข., ประกันบำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี ต้องลงทุนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือซื้อปีเว้นปีก็ได้ แต่ไม่ซื้อขาดเกิน 1 ปีติดต่อกัน และถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี และจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และสามารถสับเปลี่ยนระหว่างกองทุน RMF ด้วยกันได้ โดยไม่นับเป็นการซื้อใหม่
ประเภท RMF ที่น่าสนใจ
  • RMF ตราสารหนี้ไทย: ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้เอกชนในประเทศ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงและความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ แต่มีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย
  • RMF หุ้นไทย: ลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย เหมาะสำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจไทยและต้องการผลตอบแทนสูงในระยะยาว ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนผันผวนตามตลาดหุ้นไทย
  • RMF ที่เน้นลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ต่างประเทศหรือสินทรัพย์ทางเลือก เช่น กองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป กองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มการแพทย์ กองทุนที่เน้นลงทุนในทองคำหรือตราสารที่อ้างอิงราคาทองคำ กองทุนที่เน้นการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ฯลฯ โดยกองทุนที่เน้นลงทุนในต่างประเทศเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสจากเศรษฐกิจโลก มีทั้งแบบป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินบางส่วน และป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลยพินิจของผู้จัดการกงทุน โดยการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินจะช่วยลดความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนจากตลาดต่างประเทศโดยไม่เสี่ยงค่าเงิน ในขณะที่กองทุนที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินจะเปิดโอกาสรับผลบวกจากการแข็งค่าของสกุลเงิน แต่ต้องยอมรับความเสี่ยงจากการอ่อนค่า
  • RMF ที่ลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset): ลงทุนผสมระหว่างหุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ และสินทรัพย์ทางเลือก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน ลดความผันผวนจากการกระจายการลงทุน
กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
  • เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในทรัพย์สินที่ออกโดยผู้ออกเป็นภาครัฐไทยหรือกิจการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่มีการดำเนินงานตามหลัก สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อาทิ หุ้นที่ผ่านเกณฑ์ ESG ตราสารหรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green bond) ตราสารหรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability bond) ตราสารหรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability – linked bond) โทเคนดิจิทัลสำหรับโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีมากกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ จึงมีความหลากหลายน้อยกว่า RMF และมีความเสี่ยงกระจุกตัวในตลาดไทย นอกจากนี้ กองทุน Thai ESG ที่เป็นตราสารหนี้จะมีอายุเฉลี่ยยาวกว่ากองทุนทั่วไป เนื่องจากตราสารหนี้ ESG ส่วนใหญ่มีอายุยาว ส่งผลให้กองทุนมีความผันผวนสูงกว่ากองทุนตราสารหนี้ทั่วไป แต่ในระยะยาวมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
  • ในด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษี ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 300,000 บาท (ไม่รวมวงเงินกลุ่มเกษียณที่รวมกันไม่เกิน 500,000 บาท) ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปีนับจากวันที่ลงทุน สิ่งที่ต้องระวังคือ ผู้ลงทุนจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีก็ต่อเมื่อลงทุนในกองทุน Thai ESG ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเท่านั้น หากลงทุนในกองทุน Thai ESG ปกติ จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี นอกจากนี้ ยังไม่สามารถลงทุนเพิ่มใน Thai ESGX ได้ในปีนี้ เนื่องจากปิดการขายสำหรับปีนี้ไปแล้ว
RMF หรือ Thai ESG
  • นักลงทุนสามารถลงทุนได้ทั้ง RMF และ Thai ESG เนื่องจากนับวงเงินลงทุนแยกจากกัน กล่าวคือ กลุ่มการออมเพื่อการเกษียณ (RMF, กอช., กบข., กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) มีวงเงินลดหย่อนภาษีรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท และ Thai ESG มีวงเงิน 300,000 บาท รวมแล้วนักลงทุนมีวงเงินลดหย่อนสูงสุด 800,000 บาท
  • ผู้ลงทุนควรตรวจสอบสิทธิในการลดหย่อนภาษีที่ยังเหลืออยู่ เลือกกองทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงและเป้าหมายทางการเงินของตนเอง และลงทุนก่อนสิ้นปีเพื่อใช้สิทธิในปีภาษีนั้น อย่างไรก็ตาม ต้องระวังการขายกองทุนก่อนครบกำหนดเพราะจะต้องคืนสิทธิและเสียเบี้ยปรับ รวมถึงตรวจสอบค่าธรรมเนียมและนโยบายของกองทุนอย่างละเอียด และอย่าลงทุนเพียงเพื่อสิทธิภาษี แต่ควรให้สอดคล้องกับแผนการเงินระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นคงและผลตอบแทนที่เหมาะสมในอนาคต
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ประเมินความเสี่ยงการลงทุน และความสามารถในการรับความเสี่ยงของท่านก่อนการตัดสินใจลงทุน รวมถึงติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ

สอบถามข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม/ ขอรับหนังสือชี้ชวนกองทุนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร 02-657-5757 กด 2
Thai ESG เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมระยะยาว และสนับสนุนการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย | RMF เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการลงทุนระยะยาวเพื่อเกษียณอายุ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูล แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และ ความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

ข้อมูลกองทุน RMF กรุงศรี คลิก

ข้อมูลกองทุน Thai ESG กรุงศรี คลิก

โปรโมชันลงทุน RMF & Thai ESG คลิก

ย้อนกลับ

@ccess Mobile Application

ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว