ตอนที่ 8 : ภาษีกับการลงทุน




ภาษีกับการลงทุน
ใน “โลกของการลงทุน” เองนั้น นอกจากเรื่องของ “ผลตอบแทน” และ “ความเสี่ยง” อีกเรื่องที่นักลงทุนต้องเจอก็คือเรื่องของ “ภาษี” (Tax) นั่นเอง

ภาษีเกี่ยวข้องกับการลงทุนใน 2 ประเด็นที่ผู้ลงทุนควรรู้ 
1.เรื่องของกองทุนรวมที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษี เริ่มตั้งแต่ RMF มาถึง LTF และ SSF/SSFX ที่ปัจจุบันไม่ได้ให้สิทธิ์แล้ว จนถึงกองทุนใหม่อย่าง Thai ESG/Thai ESGX
  • RMF (กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ)
RMF เป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีควบคู่ไปกับการวางแผนเกษียณ โดยนำเงินลงทุนไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 30% ของรายได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี (เมื่อรวมกับกองทุน SSF, PVD, กบข. และการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ) ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี อย่างน้อยปีละครั้ง หรือเว้นได้ไม่เกิน 1 ปี และลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็มนับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก และขายได้ตอนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ โดยมีหลากหลายนโยบายให้เลือกลงทุนตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไปจนถึงความเสี่ยงสูง  ดังนั้น RMF จึงเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีความยืดหยุ่นและเหมาะกับการวางแผนการเงินระยะยาว
  • Thai ESG (กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน)
อีกเครื่องมือทางการเงินที่น่าสนใจในช่วงปี 2567–2569 คือ กองทุน Thai ESG ที่ส่งเสริมการลงทุนระยะยาวและใช้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วย โดยลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของรายได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท/ปี (วงเงินแยกต่างหากจาก RMF)  ทั้งนี้การลงทุนใน Thai ESG ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปี  กองทุนจะลงทุนในสินทรัพย์ในไทยที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เช่น หุ้นที่มีเรตติ้งโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม ธรรมาภิบาล หรือความยั่งยืน หรือตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond)

2. เรื่องของภาษีที่เกิดขึ้นจากการลงทุนทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และกองทุนรวม ประกอบด้วย 
(1) ภาษีเงินปันผล: สำหรับการลงทุนใน “หุ้น” ผู้ลงทุนมีสิทธิที่จะเลือก “หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10%” หรือนำเงินปันผลที่ได้รับทั้งจำนวนไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีปลายปีโดยได้รับเครดิตภาษีเงินปันผลก็ได้ ส่วนใครที่ลงทุนใน “กองทุนรวม” ก็มีสิทธิที่จะเลือก “หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10%” หรือนำเงินปันผลที่ได้รับทั้งจำนวนไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีปลายปี แต่ “ไม่มีสิทธิเครดิตภาษีเงินปันผล” แต่อย่างใด โดยมีภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนดังนี้
  • ภาษีดอกเบี้ยรับ: การลงทุนใน “ตราสารหนี้” ผู้ลงทุนจะถูก “หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15%” และมีสิทธิเลือกที่จะไม่นำดอกเบี้ยรับนั้นไปรวม คำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีประจำปีก็ได้
  • ภาษีส่วนลดรับ: เกิดขึ้นจากการลงทุนใน “ตราสารหนี้” เช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนเฉพาะที่เป็น “ผู้ทรงคนแรก (ผู้ถือตราสารคนแรก)” ถูก “หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15%” และมีสิทธิเลือก ที่จะไม่นำส่วนลดรับนั้นไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีประจำปีก็ได้
  • กำไรส่วนเกินจากมูลค่าเงินลงทุน (Capital Gain): สำหรับการลงทุนใน “หุ้น” ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ “กองทุนรวม” กำไรที่เกิดขึ้น ได้รับยกเว้น “ไม่เสียภาษี
(2) ส่วนการลงทุนใน “ตราสารหนี้” ผู้ลงทุนจะถูก “หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15%” และมีสิทธิเลือกที่จะไม่นำไปรวมคำนวณ เป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีประจำปี ยกเว้น “Zero coupon bond” ที่ผู้ถือครองคนแรกได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายใน อัตรา 15% แล้ว
สำหรับเงินได้จากการลงทุนต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป เงินลงทุนในส่วนที่มากกว่าเงินต้นที่โอนออกไป เมื่อนำกลับเข้ามาในประเทศไทยจะต้องนำไปยื่นภาษีด้วยไม่ว่าจะปีภาษีใดก็ตาม แต่ถ้าถอนเงินและนำเงินไปลงทุนต่อโดยไม่นำเงินกลับเข้าไทย ผู้ลงทุนไม่มีภาระที่ต้องเสียภาษี นอกจากนี้การลงทุนผ่าน “กองทุนรวมที่ไปลงทุนต่างประเทศ” (FIF) ก็ไม่ต้องเสียภาษีในส่วนนี้เช่นกัน

ควรขอ “เครดิตภาษีเงินปันผล” คืนเมื่อไร ?
  • ถ้าคุณเสียภาษี “ต่ำกว่า 28%” ก็สามารถเลือกที่จะขอ “เครดิตภาษีเงินปันผล” คืนได้  เพราะ “เงินปันผลจากหุ้น” สามารถขอคืนได้ โดย “เครดิตภาษีเงินปันผล” คือ ใช้การคำนวณย้อนกลับเพื่อให้ทราบจำนวนเงินปันผลก่อนถูกหักภาษี เพื่อขอภาษีคืนจากการเสียภาษีซ้ำซ้อนถึง 2 ครั้ง 
    • ครั้งที่ 1: อย่าลืมว่า ปกติบริษัทที่จ่ายเงินปันผลให้นักลงทุนนั้น “เสียภาษีนิติบุคคล” ไปแล้ว 20%
    • ครั้งที่ 2: เมื่อบริษัทนำกำไรสุทธิมาจ่ายปันผลให้นักลงทุน ก็ต้องมี “หักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 10%”
    • ตัวอย่าง: บริษัทมีกำไร 100 บาท เสียภาษีนิติบุคคล 20% เหลือกำไร 80 บาท (=100 – 20%) แล้วก็นำกำไรที่เหลือมาจ่ายปันผลทั้งหมด ก็เสียภาษีอีก 10% เหลือปันผลได้จริงเพียง 72 บาท เท่านั้น ( = 80 – 10%)
เมื่อนักลงทุนได้รับ “ปันผลจากหุ้น” จึงเสมือนนักลงทุนเสียภาษีซ้ำซ้อนถึง 28% ( = 20 บ. + 8 บ.)
“ดังนั้น หากคุณต้องจ่ายภาษีบุคคลธรรมดาในอัตรา ‘ต่ำกว่า 28%’ ก็ควรขอ ‘เครดิตภาษีเงินปันผลคืน’ เป็นทางเลือกที่สามารถจะทำได้ แต่จะขอคืนหรือไม่ สุดท้ายก็อยู่ที่ตัวนักลงทุนเองเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตาม “เงินปันผล” จากหุ้นบางประเภท จะมีการ “ยกเว้นภาษีนิติบุคคล” ทำให้ไม่สามารถเครดิตภาษีได้ เช่น
  • บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
  • บริษัทที่จัดตั้งในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (SEZ) 
  • กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund: IF)
เรื่อง “ภาษี” กับ “การลงทุน” ไม่ได้ยากอย่างที่คิด นอกจากภาระภาษีที่นักลงทุนต้องจ่ายแล้ว รัฐก็ได้ให้ “สิทธิประโยชน์ทางภาษี” อื่นๆ มาให้เช่นกัน กับทางเลือกการลงทุนที่เมื่อเราเข้าไปลงทุนแล้ว “ไม่ต้องเสียภาษี” หรือสามารถนำมา “ลดหย่อนภาษีได้”  เพื่อให้เสียภาษีน้อยลงได้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของเงินฝากปลอดภาษี, ประกัน รวมถึงกองทุนประหยัดภาษีต่างๆ เป็นต้น

บทสรุป
การเข้าใจเรื่องภาษีและการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีอยู่ ช่วยให้วางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดภาระภาษีจากการลงทุนได้ ส่งผลให้ได้รับผลจากการลงทุนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยยิ่งขึ้น

ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน

ตอนต่อไปมาต่อกันด้วยเรื่อง มี PVD ก็พอ ไม่ง้อ RMF…เกษียณสบายได้แน่หรือ?

ตอนที่ 7 : เกษียณสบาย เป้าหมายใหญ๋ของการลงทุน

ย้อนกลับ

@ccess Mobile Application

ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว