วางแผนการลงทุน
ตอนที่ 8 : ภาษีกับการลงทุน

ภาษีกับการลงทุน
ใน “โลกของการลงทุน” เองนั้น นอกจากเรื่องของ “ผลตอบแทน” และ “ความเสี่ยง” อีกเรื่องที่นักลงทุนต้องเจอก็คือเรื่องของ “ภาษี” (Tax) นั่นเอง
ภาษีเกี่ยวข้องกับการลงทุนใน 2 ประเด็นที่ผู้ลงทุนควรรู้
1.เรื่องของกองทุนรวมที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษี เริ่มตั้งแต่ RMF มาถึง LTF และ SSF/SSFX ที่ปัจจุบันไม่ได้ให้สิทธิ์แล้ว จนถึงกองทุนใหม่อย่าง Thai ESG/Thai ESGX
- RMF (กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ)
- Thai ESG (กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน)
2. เรื่องของภาษีที่เกิดขึ้นจากการลงทุนทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และกองทุนรวม ประกอบด้วย
(1) ภาษีเงินปันผล: สำหรับการลงทุนใน “หุ้น” ผู้ลงทุนมีสิทธิที่จะเลือก “หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10%” หรือนำเงินปันผลที่ได้รับทั้งจำนวนไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีปลายปีโดยได้รับเครดิตภาษีเงินปันผลก็ได้ ส่วนใครที่ลงทุนใน “กองทุนรวม” ก็มีสิทธิที่จะเลือก “หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10%” หรือนำเงินปันผลที่ได้รับทั้งจำนวนไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีปลายปี แต่ “ไม่มีสิทธิเครดิตภาษีเงินปันผล” แต่อย่างใด โดยมีภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนดังนี้
- ภาษีดอกเบี้ยรับ: การลงทุนใน “ตราสารหนี้” ผู้ลงทุนจะถูก “หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15%” และมีสิทธิเลือกที่จะไม่นำดอกเบี้ยรับนั้นไปรวม คำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีประจำปีก็ได้
- ภาษีส่วนลดรับ: เกิดขึ้นจากการลงทุนใน “ตราสารหนี้” เช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนเฉพาะที่เป็น “ผู้ทรงคนแรก (ผู้ถือตราสารคนแรก)” ถูก “หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15%” และมีสิทธิเลือก ที่จะไม่นำส่วนลดรับนั้นไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีประจำปีก็ได้
- กำไรส่วนเกินจากมูลค่าเงินลงทุน (Capital Gain): สำหรับการลงทุนใน “หุ้น” ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ “กองทุนรวม” กำไรที่เกิดขึ้น ได้รับยกเว้น “ไม่เสียภาษี
สำหรับเงินได้จากการลงทุนต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป เงินลงทุนในส่วนที่มากกว่าเงินต้นที่โอนออกไป เมื่อนำกลับเข้ามาในประเทศไทยจะต้องนำไปยื่นภาษีด้วยไม่ว่าจะปีภาษีใดก็ตาม แต่ถ้าถอนเงินและนำเงินไปลงทุนต่อโดยไม่นำเงินกลับเข้าไทย ผู้ลงทุนไม่มีภาระที่ต้องเสียภาษี นอกจากนี้การลงทุนผ่าน “กองทุนรวมที่ไปลงทุนต่างประเทศ” (FIF) ก็ไม่ต้องเสียภาษีในส่วนนี้เช่นกัน
ควรขอ “เครดิตภาษีเงินปันผล” คืนเมื่อไร ?
- ถ้าคุณเสียภาษี “ต่ำกว่า 28%” ก็สามารถเลือกที่จะขอ “เครดิตภาษีเงินปันผล” คืนได้ เพราะ “เงินปันผลจากหุ้น” สามารถขอคืนได้ โดย “เครดิตภาษีเงินปันผล” คือ ใช้การคำนวณย้อนกลับเพื่อให้ทราบจำนวนเงินปันผลก่อนถูกหักภาษี เพื่อขอภาษีคืนจากการเสียภาษีซ้ำซ้อนถึง 2 ครั้ง
- ครั้งที่ 1: อย่าลืมว่า ปกติบริษัทที่จ่ายเงินปันผลให้นักลงทุนนั้น “เสียภาษีนิติบุคคล” ไปแล้ว 20%
- ครั้งที่ 2: เมื่อบริษัทนำกำไรสุทธิมาจ่ายปันผลให้นักลงทุน ก็ต้องมี “หักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 10%”
- ตัวอย่าง: บริษัทมีกำไร 100 บาท เสียภาษีนิติบุคคล 20% เหลือกำไร 80 บาท (=100 – 20%) แล้วก็นำกำไรที่เหลือมาจ่ายปันผลทั้งหมด ก็เสียภาษีอีก 10% เหลือปันผลได้จริงเพียง 72 บาท เท่านั้น ( = 80 – 10%)
“ดังนั้น หากคุณต้องจ่ายภาษีบุคคลธรรมดาในอัตรา ‘ต่ำกว่า 28%’ ก็ควรขอ ‘เครดิตภาษีเงินปันผลคืน’ เป็นทางเลือกที่สามารถจะทำได้ แต่จะขอคืนหรือไม่ สุดท้ายก็อยู่ที่ตัวนักลงทุนเองเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม “เงินปันผล” จากหุ้นบางประเภท จะมีการ “ยกเว้นภาษีนิติบุคคล” ทำให้ไม่สามารถเครดิตภาษีได้ เช่น
- บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
- บริษัทที่จัดตั้งในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (SEZ)
- กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund: IF)
บทสรุป
การเข้าใจเรื่องภาษีและการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีอยู่ ช่วยให้วางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดภาระภาษีจากการลงทุนได้ ส่งผลให้ได้รับผลจากการลงทุนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยยิ่งขึ้น
ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
ตอนต่อไปมาต่อกันด้วยเรื่อง มี PVD ก็พอ ไม่ง้อ RMF…เกษียณสบายได้แน่หรือ?
ตอนที่ 7 : เกษียณสบาย เป้าหมายใหญ๋ของการลงทุน