ตอนที่ 7 : เกษียณสบาย เป้าหมายใหญ่ของการลงทุน




เกษียณสบาย เป้าหมายใหญ่ของการลงทุน
เป้าหมายชีวิตที่มักถูกพูดถึงและต้องให้ความสำคัญในการวางแผนกันอย่างจริงจังคือ “การเกษียณ” เพราะเป็นช่วงเวลาที่หลายคนอยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้ แต่ความจริงที่พบกันมากคือ หลายคนละเลยการวางแผนเกษียณจนถึงปีท้ายๆ ของชีวิตการทำงาน พอเกษียณเลยต้องมากังวลว่าเงินจะพอใช้หรือไม่ ยิ่งตอนนี้หลายคนอยากเกษียณเร็ว จะได้ไปใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการโดยไม่มีภาระงานกวนใจ เรายิ่งต้องเริ่มวางแผนเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งเป้าหมายให้ชัด เลือกเครื่องมือในการลงทุนที่เหมาะสม และลงทุนตามแผนอย่างมีวินัย จะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าจะสุขกายสบายใจในวัยเกษียณ

ทำไมต้องวางแผนเกษียณ?
โดยทั่วไปแล้ว อายุเกษียณในประเทศไทยจะอยู่ที่ประมาณ 60 ปี แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่มากขึ้น ทำให้อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 77 ปี นั่นหมายความว่าหลังเกษียณแล้ว เราจะยังต้องใช้ชีวิตต่อไปอีกเกือบ 20 ปี หรือมากกว่านั้น โดยเราต้องเตรียมเงินให้เพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงเวลาที่ไม่มีรายได้ประจำเข้ามาอีกต่อไป ถ้าไม่มีการวางแผนที่ดีตั้งแต่วันนี้ ชีวิตหลังเกษียณอาจต้องพึ่งพาผู้อื่น หรือมีคุณภาพชีวิตที่ลดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้

มั่นใจแค่ไหน...ว่าจะมีเงินพอใช้หลังเกษียณ?
  • ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 พบว่า “คนไทยส่วนใหญ่ยังเตรียมตัวไม่ทันกับวัยเกษียณ”
  • โดยผลสำรวจระบุว่า ผู้สูงอายุไทยกว่า 45.7% ไม่มีเงินออมเลย ซึ่งหมายความว่าเกือบครึ่งหนึ่งของผู้สูงอายุทั้งหมด ต้องดำรงชีวิตโดยไม่มีเงินสำรองใด ๆ สำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณ ในขณะที่กลุ่มที่มีเงินออมอยู่บ้าง 41.4% มีเงินออมไม่ถึง 50,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่เพียงพอแม้แต่สำหรับค่าใช้จ่ายรายเดือนขั้นพื้นฐาน เช่น ค่าอาหาร ค่ายา หรือค่าครองชีพทั่วไป
  • ดังนั้น การวางแผนเกษียณจึงไม่ใช่แค่เรื่องของเงินเพียงอย่างเดียว แต่คือการวางรากฐานเพื่อความมั่นคงและคุณภาพชีวิตในอนาคตอย่างแท้จริง
ตั้งเป้าหมายการเกษียณอย่างไรให้ชัดเจน?
การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในทุกแผนการลงทุน การกำหนดเป้าหมายเกษียณควรประกอบด้วยคำถามสำคัญ เช่น
  • เราต้องการใช้เงินเท่าไหร่ต่อเดือนหลังเกษียณ?
  • ต้องการเกษียณเมื่ออายุเท่าไหร่?
  • คาดหวังว่าจะมีอายุยืนถึงกี่ปี?
  • มีแหล่งรายได้อื่นนอกเหนือจากเงินลงทุนหรือไม่?
ตัวอย่างเช่น หากต้องการใช้เงิน 30,000 บาทต่อเดือน และคาดว่าจะเกษียณที่อายุ 60 ปี อายุขัยเฉลี่ย 80 ปี จะต้องมีเงินใช้จ่ายประมาณ 7.2 ล้านบาท (30,000 บาท × 12 เดือน × 20 ปี) โดยยังไม่รวมปัจจัยเงินเฟ้อที่อาจทำให้ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งเราจะต้องพิจารณาเพิ่มทุนสำรองอีกด้วย

เงินเฟ้อ…ตัวแปรสำคัญที่ต้องไม่มองข้าม
  • เงินเฟ้อ คืออัตราการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการในแต่ละปี ซึ่งหมายความว่าค่าเงินในวันนี้จะมีมูลค่าลดลงเมื่อเวลาผ่านไป หากเรามองข้ามตัวแปรสำคัญอย่างเงินเฟ้อไป อาจส่งผลให้เงินที่ออมไว้ไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในอนาคต
  • สมมุติว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 3% ต่อปี เงิน 30,000 บาทในวันนี้จะเท่ากับต้องใช้ประมาณ 54,000 บาทในอีก 20 ปีข้างหน้าเพื่อซื้อของในปริมาณเท่าเดิม นั่นแปลว่าเราควรตั้งเป้าหมายเกษียณให้สูงกว่าค่าใช้จ่ายปัจจุบันอย่างน้อย 1.5 เท่า หรือมากกว่านั้น เพื่อป้องกันการขาดสภาพคล่องในวัยเกษียณ
ดอกเบี้ยทบต้นคือขุมพลังแห่งการลงทุน
  • หลายคนอาจเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ดอกเบี้ยทบต้นคือสิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 8 ของโลก” ซึ่งอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยพูดถึงพลังของการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนซ้ำๆ บนเงินทุนและดอกเบี้ยที่ได้มา ทำให้เงินเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเวลาผ่านไป
  • สมมุติว่าเราลงทุนเดือนละ 5,000 บาท ตั้งแต่อายุ 25 ปี ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี จะมีเงินเก็บประมาณ 11.5 ล้านบาท เมื่อถึงอายุ 60 ปี แต่ถ้ารอเริ่มลงทุนตอนอายุ 35 ปี เงินสะสมจะเหลือเพียงประมาณ 4.7 ล้านบาทเท่านั้น ความแตกต่างนี้แสดงให้เห็นว่า “เวลา” เป็นตัวแปรที่มีผลต่อความสำเร็จในการลงทุนมากกว่าจำนวนเงินที่ลงไป
ดังนั้น “เริ่มลงทุนให้เร็ว” คือคำแนะนำสำคัญสำหรับทุกคนที่ต้องการเกษียณสบาย

การลงทุนแบบ DCA เป็นวินัยที่สำคัญ
  • การลงทุนไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาหรือการคาดเดาตลาดให้ถูกเสมอไป แต่เป็นเรื่องของวินัยและความสม่ำเสมอในการออมและการลงทุน เพราะการลงทุนแบบ DCA เป็นการลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่าเดิมในทุกๆ เดือนหรือรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่สนใจว่าตลาดจะขึ้นหรือลง
  • วิธีนี้มีข้อดีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนตลาดในระยะสั้น และยังช่วยสร้างนิสัยการออมที่ดี เพราะไม่ต้องรอจับจังหวะตลาดหรือเลือกเวลาลงทุน ทำให้ทุกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้เงินจะถูกนำไปลงทุนโดยอัตโนมัติ
วางแผนเกษียณให้ครบทุกมิติ
การเกษียณที่มั่นคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินออมและการลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีการวางแผนที่ครอบคลุมทุกด้าน เช่น
  • ประเมินเป้าหมายเกษียณ ว่าต้องการเงินเท่าไร และต้องใช้เงินกี่ปี
  • ประเมินรายได้และค่าใช้จ่าย เพื่อกำหนดงบประมาณลงทุนรายเดือน
  • เลือกการออมและการลงทุนที่เหมาะสม เช่น RMF หรือ Thai ESG ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและเหมาะกับเป้าหมาย รวมทั้งระดับความเสี่ยงที่รับได้
  • การลงทุนแบบ DCA เพื่อสร้างวินัยและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด เช่น การใช้บริการซื้อหน่วยลงทุนแบบประจำ (Regular Saving Plan) ของ บลจ.กรุงศรี ผ่านทาง @ccess Mobile Application
  • ติดตามและปรับพอร์ตลงทุน อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อประสิทธิภาพในการลงทุน  และมั่นใจได้ว่าแผนเกษียณที่วางไว้ยังเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง
RMF เครื่องมือสำคัญในการวางแผนเกษียณ
  • หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในการวางแผนเกษียณ คือการลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือที่เรียกกันว่ากองทุน RMF ที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดย RMF มีหลากหลายนโยบายให้เลือกลงทุนตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไปจนถึงความเสี่ยงสูง สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของรายได้พึงประเมิน และไม่เกิน 500,000 บาท/ปี (รวมกับกองทุน SSF, PVD, กบข. และอื่น ๆ)
  • ทั้งนี้ การลงทุนใน RMF ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี (เว้นได้ไม่เกิน 1 ปี) ต้องถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี และจะขายคืนได้เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
สรุป
“เกษียณสบาย” ไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือเป็นแค่ฝันของคนมีเงิน แต่เป็นเป้าหมายที่ทุกคนสามารถไปถึงได้ หากเริ่มต้นวางแผนอย่างจริงจังและมีวินัย การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน การเริ่มลงทุนเร็วเพื่อใช้ประโยชน์จากพลังดอกเบี้ยทบต้นอย่างเต็มที่ รวมทั้งการเลือกกองทุนที่เหมาะสมเช่น RMF และ Thai ESG จะช่วยเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน

พบกับตอนที่ 8 : ภาษีกับการลงทุน เร็วๆนี้

ตอนที่ 6: ทริคลงทุนอย่างมีเป้าหมาย และทำได้จริง

ย้อนกลับ

@ccess Mobile Application

ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว