ตอนที่ 3 : เสี่ยงที่สุดคือ...ไม่รู้เรื่องความเสี่ยง




การลงทุนกับความเสี่ยง: เสี่ยงที่สุดคือ "ไม่รู้เรื่องความเสี่ยง"


เมื่อพูดถึงการลงทุน จะมีความเสี่ยงคู่มากับผลตอบแทนเสมอ 
โดยทั่วไปแล้วคนมักมองเรื่อง “ความเสี่ยง” ไปในเชิงลบ เช่น “ได้น้อยกว่าที่คิด” หรือ “ได้ช้ากว่าที่หวัง” จึงทำให้หลายคนไม่ชอบหรือกลัวความเสี่ยง แต่ในโลกของการเงินนั้น ความเสี่ยงไม่ได้หมายความว่าจะต้องขาดทุนเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึง “ความผันผวน” ที่ทำให้ผลตอบแทนเปลี่ยนแปลงจากที่คาดไว้ ซึ่งอาจนำไปสู่ “ขาดทุน” หรือ “กำไร” ก็ได้
สิ่งสำคัญคือ “เราจะจัดการกับความเสี่ยงหรือความผันผวนเหล่านี้ได้อย่างไร” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินโดยไม่หวั่นไหวต่อความผันผวนหรือการขาดทุนในช่วงเวลาสั้นๆ  ดังนั้นเรามารู้จักและเข้าใจความเสี่ยงให้มากขึ้นอีกสักนิด

ความเสี่ยงมี 2 ประเภทหลัก
1. ความเสี่ยงที่เป็นระบบ (Systematic Risk)
เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยมหภาค เช่น ภาวะเศรษฐกิจ การเมือง อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ ฯลฯ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมหรือหลีกเลี่ยงได้ แต่สามารถ “บริหารจัดการ” ด้วยการกระจายการลงทุนเพื่อให้พอร์ตการลงทุนมีความหลากหลาย
2. ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ (Unsystematic Risk)
เป็นความเสี่ยงเฉพาะของกิจการหรืออุตสาหกรรมในการดำเนินธุรกิจ หรือความเสี่ยงทางการเงิน เช่น ผลประกอบการบริษัท ปัญหาภายในองค์กร การจัดการที่ผิดพลาด ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์

ความเสี่ยงที่ต้องรู้จัก
1. ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
  • เงินเฟ้อหมายถึงการลดลงของ “อำนาจซื้อ” ถ้าเราไม่สามารถสร้างผลตอบแทนจากการออมหรือการลงทุนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อได้ เงินที่มีอยู่จะมีมูลค่าลดลงเรื่อยๆ
  • วิธีรับมือคือการมองหา “อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Rate of Return)” โดยหักลบผลตอบแทนด้วยอัตราเงินเฟ้อ หากผลติดลบ นั่นคือความเสี่ยงที่ต้องจัดการ
2. ความเสี่ยงจากการกลัวความเสี่ยงเกินไป
  • หลายคนเลือกไม่ลงทุนเพราะกลัวขาดทุน แต่อย่าลืมว่าในระยะยาวอาจต้องเจอกับความเสี่ยงที่ใหญ่กว่า คือการมีเงินไม่พอใช้ โดยเฉพาะในวัยเกษียณที่คนเรามีแนวโน้มอายุยืนยาวขึ้นจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า ถ้าเราไม่มีรายได้ที่เพียงพอในขณะที่ค่าใช้จ่ายยังคงมีอยู่ เราจะต้องเผชิญกับที่เงินจะไม่พอใช้อย่างแท้จริง ดังนั้น จึงไม่ควรกลัวความเสี่ยงจากการลงทุนมากเกินไป และควรให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อชีวิตหลังเกษียณ

ต้องมีเงินเท่าไหร่...ถึงจะพอใช้หลังเกษียณ?
เคยคิดกันไหมว่า…หลังเกษียณเราจะต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะพอใช้แบบไม่ต้องกังวล?
ลองคิดง่ายๆ สมมติว่าเราวางแผนเกษียณตอนอายุ 60 ปี และคาดว่าจะมีชีวิตต่อไปอีกประมาณ 20 ปี
  • ปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 20,000 บาท แปลว่าใน 1 ปีต้องใช้เงิน 240,000 บาท (20,000 บาท × 12 เดือน) และในเวลา 20 ปีก็จะต้องใช้เงิน 4,800,000 บาท (240,000 บาท × 20 ปี)
  • หรือถ้าต้องการมีเงินใช้จ่ายเดือนละประมาณ 50,000 บาท และวางแผนใช้เงินไปอีก 15 ปีหลังเกษียณ แปลว่าจะต้องมีเงินเก็บถึง 9,000,000 บาท (50,000 บาท × 12 เดือน × 15 ปี)
ดูเหมือนจำนวนเงินจะเยอะใช่ไหม? แต่นี่คือการคำนวณคร่าวๆ ยังไม่รวมตัวแปรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นหรือราคาสินค้าที่แพงขึ้นในอนาคต ซึ่งหมายความว่ามูลค่าของเงินที่มีอยู่จะลดลงไปกว่าในปัจจุบัน เราจึงต้องการเงินมากกว่าจำนวนนี้อีกในความเป็นจริง แล้วเราจะลงทุนอย่างไรให้มั่นใจว่าจะมีเงินพอใช้ได้

เป้าหมายทางการเงินที่ดีคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ
หลายคนอาจมองว่าการวางแผนการเงินเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริงๆ แล้ว “เป้าหมายที่ชัดเจน” คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่ช่วยให้เรามีการเตรียมความพร้อมทางการเงิน ทำให้เรารู้ว่าควรเริ่มเก็บเงินตอนไหน เก็บเท่าไร และควรลงทุนอย่างไร
เพียงแค่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสให้เงินเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ที่สำคัญคือเป้าหมายจะช่วยให้เราเลือกวิธีลงทุนได้เหมาะสม
  • หากเป้าหมายคือการใช้เงินในระยะสั้น ควรเลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและสภาพคล่องสูง
  •  ในทางกลับกัน ถ้าเป็นเป้าหมายระยะยาว แต่ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีลักษณะการลงทุนแบบสั้นเกินไป ก็อาจพลาดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า
เป้าหมายทางการเงินสามารถแบ่งเป็น 3 ระยะ
  • ระยะสั้น: ภายใน 3 ปี (เช่น ซื้อของชิ้นใหญ่หรือท่องเที่ยว)
  • ระยะกลาง: 3-5 ปี (เช่น เงินดาวน์บ้านหรือแต่งงาน)
  • ระยะยาว: มากกว่า 5 ปี (เช่น การศึกษาบุตรหรือการวางแผนเกษียณ)
การตั้งเป้าหมายการเงินด้วยหลัก “SMART”
  • S (Specific): เป้าหมายต้องชัดเจน เช่น อยากมีเงินเกษียณ 10 ล้านบาท
  • M (Measurable): ต้องวัดผลได้ เช่น ต้องเก็บเดือนละเท่าไหร่
  • A (Achievable): มีความเป็นไปได้ เช่น รายได้พอเก็บไหม?
  • R (Relevant): มีความสอดคล้องกับชีวิต เช่น มีภาระอื่นหรือไม่
  • T (Time-bound): มีกรอบเวลาที่ชัดเจน เช่น ต้องเก็บให้ถึงเป้าหมายใน 30 ปี
สรุป
  • ความเสี่ยงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากเราเข้าใจและวางแผนบริหารจัดการอย่างเหมาะสม
  • บางครั้งการไม่กล้าเสี่ยงก็อาจกลายเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่กว่า โดยเฉพาะในเรื่องการเตรียมความพร้อมทางการเงินหลังเกษียณ
  • เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน จากนั้นเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับระยะเวลา
  • วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสให้เงินเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

ตอนต่อไปมาต่อกันด้วยเรื่อง กองทุนรวม ประตูสู่โลกการลงทุน

อ่านตอนที่ 2 : ออมไม่พอ ต้องลงทุน

ย้อนกลับ

@ccess Mobile Application

ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว