สรุปภาวะตลาดรายวัน


บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด
08/02/2567

ปัจจัยสำคัญ 

  • ตลาดหุ้นสหรัฐทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดบวก นำโดยดัชนี S&P500 ปิดทำนิวไฮ ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
  • หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.4% โดยหุ้นอินวิเดีย พุ่งขึ้น 2.7% หุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 2.1% หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ทะยานขึ้น 3.3%
  • หุ้นซีวีเอส เฮลธ์ คอร์ป (CVS Health Corp) ซึ่งเป็นบริษัทด้านการดูแลสุขภาพและเครือข่ายร้านขายยาขนาดใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 3.1% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 4/2566
  • ไมเคิล เจมส์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Wedbush Securities กล่าวว่า ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียนช่วยให้ตลาดเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดทั้งวัน ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ของธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐ หลังจากธนาคารนิวยอร์ก คอมมิวนิตี แบงคอร์ป (New York Community Bancorp - NYCB) เปิดเผยตัวเลขขาดทุนเกินคาดในไตรมาส 4/2566 พร้อมประกาศลดการจ่ายเงินปันผล และเพิ่มเงินสำรองเพื่อรับมือกับปัญหาหนี้เสีย
  • มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคาร NYCB ลงสู่อันดับขยะ (Junk) โดยระบุว่า NYCB ล้มเหลวในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเงินทุนและทำให้ผู้ฝากเงินขาดความเชื่อมั่น
  • นักลงทุนยังคงจับตาการแสดงความเห็นของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยล่าสุดนายนีล แคชแครี ประธานเฟดสาขามินนีแอโพลิสคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 - 3 ครั้งในปีนี้ ขณะที่นางเอเดรียนา คุกเลอร์ หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการเฟดกล่าวว่า เฟดจำเป็นต้องมีข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ก่อนที่จะพิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
  • นักลงทุนรอติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยข้อมูลจาก LSEG (London Stock Exchange Group) ระบุว่า ขณะนี้มีบริษัทมากกว่าครึ่งหนึ่งในดัชนี S&P500 ที่ได้รายงานผลประกอบการแล้ว โดยในจำนวนนี้มี 81.2% ที่รายงานผลประกอบการสูงกว่าคาด
  • ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะการร่วงลงของหุ้นอิควินอร์ และหุ้นโททาลเอเนอร์จีซึ่งเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ในยุโรป
  • หุ้นอิควินอร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตน้ำมันและก๊าซของนอร์เวย์ ร่วงลง 7.8% หลังเปิดเผยว่าจะลดการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในปีนี้ลง 3 พันล้านดอลลาร์ ด้านหุ้นโททาลเอเนอร์จีของฝรั่งเศส ร่วงลง 3.2% หลังรายงานรายได้ไตรมาส 4/2566 ลดลงมากกว่าคาด
  • ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีลดลง 1.6% จากเดือนก่อนหน้าในเดือน ธ.ค. ตามการลดลงของผลผลิตอุตสาหกรรมเคมี และภาคก่อสร้าง โดยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน
  • ตลาดยังผิดหวังหลัง นางอิซาเบล ชนาเบล กรรมการธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยกับไฟแนนเชียล ไทมส์ว่า ECB ต้องอดกลั้นกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเงินเฟ้ออาจปะทุขึ้นอีก และข้อมูลที่ผ่านมายืนยันความวิตกที่ว่า การปรับลดเงินเฟ้อลงนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
  • นักลงทุนคาดการณ์ว่า ECB จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วที่สุดในเดือน เม.ย. ซึ่งสวนทางกับเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบาย โดยระบุว่า ยังเร็วเกินไปที่จะหารือเรื่องดังกล่าวในการประชุมเดือนที่ผ่านมา การตัดสินใจด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นอยู่กับว่าค่าจ้างยังคงเติบโตในระดับสูงหรือไม่ หรือทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีกครั้งหรือไม่
  • ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดลบ จากแรงขายหุ้นที่เกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ หลังดัชนีหุ้นกลุ่มชิปของสหรัฐร่วงลงก่อนหน้านี้ โดยดัชนีแกว่งตัวอยู่บริเวณใกล้ระดับปิดของวันทำการก่อนหน้า (6 ก.พ.) แต่ยังได้แรงซื้อช่วยพยุงตลาดไว้ หลังจากที่บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งเมื่อวานนี้
  • บริษัทแปซิฟิก อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ โค หรือพิมโค (Pacific Investment Management Co: PIMCO) เปิดเผยว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบอย่างเร็วที่สุดในการประชุมเดือน มี.ค. ก่อนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นลดลง โดยคาดว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากติดลบเป็น 0% ในเดือน มี.ค. หรือ เม.ย. นี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นเป็น 0.25% ภายในสิ้นปี พร้อมเสริมว่า การขยายตัวของค่าจ้างอย่างรวดเร็วมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่องในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะหนุนให้ BOJ ยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ
  • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ขณะที่นักลงทุนรอคอยการออกมาตรการฟื้นฟูตลาดเพิ่มเติมจากรัฐบาลจีน หลังจากที่รัฐบาลส่งสัญญาณว่าจะใช้ความพยายามในการสนับสนุนตลาดหุ้น
  • มาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลจีนประกาศโดยมีเป้าหมายฟื้นฟูตลาดหุ้น หลังจากตลาดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เช่น การออกคำสั่งควบคุมการทำ short selling หรือการขายชอร์ต การสนับสนุนให้บริษัทเซ็นทรัล หุยจิน อินเวสต์เมนต์ (เซ็นทรัล หุยจิน) ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนของรัฐบาลจีน เข้าซื้อหุ้นในตลาดมากขึ้น
  • ตลาดหุ้นไทยปิดบวก ส่วนใหญ่ซื้อขายในแดนบวก ปิดปรับตัวสูงขึ้นเหนือ 1,400 จุด จากความคาดหวังว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยอาจปรับลดลงในปีนี้ ในขณะที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาคปิดปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน
  • คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของ ธปท. มีมติ 5 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% โดยกรรมการ 2 ท่านลงมติให้ลดดอกเบี้ย 0.25% ทั้งนี้ คณะกรรมการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจากแรงส่งจากภาคต่างประเทศน้อยลง และผลกระทบจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชนยังคงเติบโตดีต่อเนื่อง คณะกรรมการคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัว 2.5% - 3.0% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ใกล้ 1.0%

มุมมองการลงทุนจาก บลจ.กรุงศรี

คาดว่าในระยะสั้นตลาดให้น้ำหนักไปที่การเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน มากกว่าความกังวลในเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ทั้งนี้ หากผลประกอบการบริษัทออกมาดีกว่าคาด จะเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นต่อได้ แต่เมื่อพิจารณาด้าน Valuation ที่อยู่ในระดับที่แพงในปัจจุบัน แนะนำเป็นจังหวะทยอยขายทำกำไรบางส่วนก่อน

สรุปภาพรวมตลาด

  • ต่างประเทศ
    • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,677.36 จุด เพิ่มขึ้น 156.00 จุด หรือ +0.40%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,995.06 จุด เพิ่มขึ้น 40.83 จุด หรือ +0.82% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,756.64 จุด เพิ่มขึ้น 147.65 จุด หรือ +0.95%
    • ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 485.63 จุด ลดลง 1.13 จุด หรือ -0.23%
    • ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 36,119.92 จุด ลดลง 40.74 จุด หรือ -0.11%
    • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 2,829.70 จุด เพิ่มขึ้น 40.21 จุด หรือ +1.44%
    • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มี.ค. เพิ่มขึ้น 55 เซนต์ หรือ 0.75% ปิดที่ 73.86 ดอลลาร์/บาร์เรล
    • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้น 30 เซนต์ หรือ 0.01% ปิดที่ 2,051.70 ดอลลาร์/ออนซ์
  • ในประเทศ
    • SET ปิดที่ 1,400.02 บวก 3.06 จุด (+0.22%) Trading Volume: 45,570.86 ล้านบาท – มูลค่าการซื้อขายค่อนข้างน้อย โดยตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายมากที่สุดในหุ้นกลุ่มพลังงาน (+0.85%) ตามด้วยกลุ่มพาณิชย์ (+0.74%) และกลุ่มธนาคาร (+0.19%) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,006.40 ล้านบาท
    • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปิดปรับลดลง 2-3 bps แบ่งตามช่วงอายุ ดังนี้
      • อายุ 1-5 ปี ปิดปรับลดลง 1-2 bps
      • อายุ >5-10 ปี ปิดปรับลดลง 2-3 bps
      • อายุ >10 ปีขึ้นไป ปิดปรับลดลง 1-4 bps
      • IRS SWAP ปิดปรับลดลง 4-10 bps   
    • นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 6,352.06 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,127.86 ล้านบาท 
ที่มา: Bloomberg, Econaday, KSS, Ryt9
 
กองทุนที่มีนโยบายลงทุนใน
ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สำหรับกองทุน SSF/RMF/LTF/Thai ESG ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน|สำหรับกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศจะมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคมของประเทศที่กองทุนไปลงทุนได้ | เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูล แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือและความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

ย้อนกลับ


ลงทุนในกองทุนรวมบลจ.กรุงศรี

บลจ.กรุงศรีมีกองทุนรวมหลายประเภทให้เลือกลงทุนสำหรับทุกเป้าหมายการลงทุน