สรุปภาวะตลาดรายวัน


บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด
06/03/2567

ปัจจัยสำคัญ 

  • ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบแรงทั้ง 3 ดัชนี โดยที่ ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ร่วงลงกว่า 1% โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ อย่างหุ้นแอปเปิ้ล (AAPL) ที่ร่วงลง 2.8% หลังมีรายงานบ่งชี้ว่า ยอดขายไอโฟนในจีนร่วงลง 24% เมื่อเทียบเป็นรายปีในรอบ 6 สัปดาห์แรกของปีนี้ ขณะที่แอปเปิ้ลเผชิญกับการแข่งขันมากขึ้นจากคู่แข่งในจีน เช่น หัวเว่ย ในขณะที่หุ้นร่วงลง หลังบลูมเบิร์กรายงานว่าบริษัทแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ (AMD) ประสบปัญหาในความพยายามที่จะขายชิป AI ให้กับตลาดจีน เนื่องจากสหรัฐปราบปรามการส่งออกเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำให้กับจีน
  • หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปรับตัวลง โดยกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 1.2% และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยลดลง 1.3% แต่หุ้นกลุ่มพลังงานบวก 0.7% และหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคบวก 0.3% โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงจากแรงขายทำกำไร หลังจากทะยานขึ้น 56% ในปี 2566
  • สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 52.6 ในเดือน ก.พ. จากระดับ 53.4 ในเดือน ม.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 53.1 อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่ แม้ว่าการจ้างงานปรับตัวลง
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ จากการที่นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ และติดตามนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตรียมแถลงการณ์รอบครึ่งปีเกี่ยวกับนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรส โดยมีกำหนดกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 6 มี.ค. ก่อนที่จะกล่าวต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันที่ 7 มี.ค.
  • ตลาดหุ้นยุโรป STOXX 600 ปิดลบเล็กน้อย หลังนักลงทุนเริ่มระมัดระวังและเฝ้าติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสบดีนี้ (7 มี.ค.) ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราที่พึ่งพาตลาดจีนร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ โดยหุ้นแอร์เมส (RMS) และหลุยส์วิตตอง (MC) ร่วงลงกว่า 1% ในขณะที่ หุ้นโนโว นอร์ดิสค์ (NOVO-B) ร่วง 2.5% หลังแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในการซื้อขายระหว่างวัน
  • ตลาดหุ้นญี่ปุ่น Nikkei ปิดลบเล็กน้อย หลังนักลงทุนมีการขายหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงก่อนหน้านี้ หลังอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ในกรุงโตเกียวเพิ่มขึ้น 2.5% ในเดือน ก.พ. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจาก 1.6% ในเดือน ม.ค. ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
  • ตลาดหุ้นจีน Shanghai Composite ปิดบวกเล็กน้อย หลังจีนกำหนดเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศที่ประมาณ 5% สำหรับปี 2567 ที่การประชุมสองสภา
  • รัฐบาลจีนกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2567 ไว้ที่ 5% เท่ากับปี 2566 และได้กำหนดเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณทางการคลังปี 2567 ไว้ที่ 3% เท่ากับปี 2566 ทั้งนี้ช่วงปลายปี 2566 รัฐบาลมีการขาดดุลเพิ่มขึ้นไปถึง 3.8% จากการออกพันธบัตรเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในการป้องกันอุทกภัย อย่างไรก็ดีจีนวางแผนจะออกพันธบัตรรัฐบาลพิเศษที่มีอายุยาวนานพิเศษมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (1.39 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพื่อใช้ในโครงการต่างๆ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งไม่รวมอยู่ในงบประมาณปีนี้ ส่วนเรื่องอื่นๆ รัฐบาลจีนกำหนดอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 3%, อัตราการว่างงานในเขตเมืองที่ 5.5% และสร้างงานในเขตเมือง 12 ล้านตำแหน่ง ซึ่งภาพรวมมีความคล้ายคลึงกับเป้าหมายปี 2566
  • ตลาดหุ้นไทย SET ปิดลบ 3.33 จุด ปรับตัวลงตามตลาดในภูมิภาค โดยช่วงเช้าลงไปที่แนวรับ 1,350 จุด ก่อนจะดีดกลับขึ้นมาได้บ้าง ทำให้ลดช่วงลบลง ขณะที่ปัจจัยในประเทศช่วงเช้ากระทรวงพาณิชย์รายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ของไทยลดลง 0.77% จากช่วงเดียวกันปีก่อนในเดือน ก.พ. หลังจากลดลง 1.11% ในเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นการติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เพิ่มขึ้น 0.43% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สะท้อนเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงที่เปราะบาง โดยที่ราคาอาหารสด เนื้อสัตว์ ค่าไฟ และราคาน้ำมัน ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 

มุมมองการลงทุนจาก บลจ.กรุงศรี

  • เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวผสมผสานและเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ รอรับปัจจัยเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่จะเริ่มรายงานในช่วงค่ำวันอังคาร (5 มี.ค.) เป็นต้นไป ทั้งนี้ตลาดหุ้นจีนมีปัจจัยเฉพาะตัว จากการประชุมสองสภา ซึ่งผลออกมาค่อนข้างทำให้ตลาดผิดหวัง แม้จะตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไว้ที่ 5% เท่ากับปี 2566 ก็ตาม แต่ตลาดมองว่าความท้าทายที่จะบรรลุเป้าหมายในปีนี้น่าจะยากกว่าปีที่แล้ว เพราะปีที่แล้วเศรษฐกิจจีนขยายตัวจากฐานต่ำหลังจากปิดเมืองในปี 2565 นอกจากนี้ทางการจีนยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ออกมาอีกด้วย
  • สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบแรงจากหุ้นขนาดใหญ่อย่าง Apple ที่มีความกดดันจากยอดขายในจีนลดลงมาก และโดน Huawei และ Honor แซงหน้าในเรื่องของ Market Shares นอกจากนั้นตลาดได้เข้าสู่โหมดระมัดระวังมากขึ้น จากการที่สหรัฐฯจะเริ่มรายงานตัวเลขของตลาดแรงงาน ได้แก่ ตำแหน่งงานเปิดใหม่ (Job Openings and Labor Turnover Survey หรือ JOLTs) ซึ่งจะสะท้อนถึงความต้องการจ้างงานของฝั่งนายจ้าง รวมถึงการแถลงนโยบายการเงินต่อหน้ารัฐสภาของพาวเวล ซึ่งจะใช้เวลา 2 วันคือคืนวันพุธ (6 มี.ค.) และวันพฤหัสบดี (7 มี.ค.)

สรุปภาพรวมตลาด

  • ต่างประเทศ
    • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,585.19 จุด ลดลง 404.64 จุด หรือ -1.04%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,078.65 จุด ลดลง 52.30 จุด หรือ -1.02% และดัชนี NASDAQ ปิดที่ 15,939.59 จุด ลดลง 267.92 จุด หรือ -1.65%
    • ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 496.27 จุด ลดลง 1.14 จุด หรือ -0.23%
    • ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 40,097.63 จุด ลดลง 11.60 จุด หรือ -0.03%
    • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,047.79 จุด เพิ่มขึ้น 8.49 จุด หรือ +0.28%
    • ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 73,677.13 ลบ 195.16 จุด หรือ 0.26%%
    • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน เม.ย. ลดลง 59 เซนต์ หรือ 0.75% ปิดที่ 78.15 ดอลลาร์/บาร์เรล
    • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้น 15.60 ดอลลาร์ หรือ 0.73% ปิดที่ 2,141.90 ดอลลาร์/ออนซ์
  • ในประเทศ
    • SET ปิดที่ 1,359.26 ลบ 3.33 จุด (-0.24%) Trading Volume: 39,748.68 ล้านบาท – มูลค่าการซื้อขายน้อย โดยตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายมากที่สุดในหุ้นกลุ่มพลังงาน (-0.13%) ตามด้วยกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (-0.28%) และกลุ่มพาณิชย์ (+0.66%) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,918.00 ล้านบาท
    • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปิดแกว่งตัว 1 bp แบ่งตามช่วงอายุ ดังนี้
      • อายุ 1-5 ปี ปิดแกว่งตัว 1 bp
      • อายุ >5-10 ปี ปิดปรับลดลง 1 bp
      • อายุ >10 ปีขึ้นไป ปิดปรับลดลง 1 bp
      • IRS SWAP ปิดปรับขึ้น 1 bp      
    • นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 53,507.30 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 808.22 ล้านบาท     
ที่มา: Bloomberg, Econaday, KSS, Ryt9
 
กองทุนที่มีนโยบายลงทุนใน
ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สำหรับกองทุน SSF/RMF/LTF/Thai ESG ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน|สำหรับกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศจะมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคมของประเทศที่กองทุนไปลงทุนได้ | เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูล แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือและความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

ย้อนกลับ


ลงทุนในกองทุนรวมบลจ.กรุงศรี

บลจ.กรุงศรีมีกองทุนรวมหลายประเภทให้เลือกลงทุนสำหรับทุกเป้าหมายการลงทุน