บลจ.กรุงศรี มอง 5 เทรนด์ยักษ์ใหญ่สร้างกำไรในแดนมังกร

5 มิถุนายน 2564

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี (บลจ.กรุงศรี) จำกัด ชี้โอกาสลงทุนหนุนพอร์ตคว้ากำไรไปกับ 5 เทรนด์ยักษ์ใหญ่ของจีน ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในระบบเศรษฐกิจจีนยุคใหม่ ขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งการบริโภคยุคดิจิทัลของตลาดขนาดใหญ่ในประเทศที่มีกำลังซื้อมหาศาล เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เทรนด์ด้านสุขภาพ พลังงานสะอาด และการขนส่งสมัยใหม่ หนุนด้วยแผนการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวฉบับที่ 14 ที่รัฐบาลจีนพร้อมทุ่มงบประมาณการพัฒนาอย่างมหาศาล เพื่อยกระดับรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เปลี่ยนประเทศจีนสู่ China 5.0 เศรษฐกิจยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี 


ในการนี้ บลจ.กรุงศรี ได้จัดสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ 5 เทรนด์ยักษ์ใหญ่สร้างกำไรในแดนมังกร เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มและทิศทางเศรษฐกิจจีนหลังจากวิกฤติโควิดผ่านพ้น พร้อมเปิดตัวกองทุนเปิดกรุงศรีไชน่าเมกะเทรนด์-สะสมมูลค่า (KFCMEGA-A) ที่รวบรวมเอา 5 ธีมยักษ์ใหญ่จาก 4 กองทุนอีทีเอฟ (ETF) ชั้นนำระดับโลกมาไว้ในหนึ่งเดียวแบบ One-Stop Solution Fund ให้พอร์ตของนักลงทุนได้มีโอกาสเติบโตไปกับกระแสการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจีน ซึ่งมีภาคการบริโภคเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโต

ที่งานสัมมนา บลจ.กรุงศรี ได้เชิญ ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์และผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคุณพรชนก รัตนรุจิกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ.กรุงศรี มาร่วมพูดคุยและแชร์มุมมองสำคัญในการลงทุน

เริ่มที่ ดร. อาร์ม กล่าวว่า ทิศทางการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจีนนับจากนี้จะเป็นลักษณะแบบ K-Shape คือแบ่งออกเป็นเศรษฐกิจระบบแบบเก่าที่พึ่งพิงภาคอุตสาหกรรมการผลิตในรูปแบบเดิมๆ ที่ได้รับผลกระทบและกำลังฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด และเศรษฐกิจยุคใหม่ที่นำเทคโนโลยีมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆและกำลังเปลี่ยนแปลงภาพรวมของเศรษฐกิจจีนอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบัน รูปแบบการบริโภคของตลาดภายในประเทศนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบได้แก่ตลาดแบบ Offline ตลาดแบบ Online หรือ e-commerce และตลาดแบบ Virtual หรือรูปแบบเสมือนจริง ซึ่งเป็นตลาดการค้ารูปแบบใหม่ของจีน โดยมีธุรกิจยักษ์ใหญ่เช่น Alibaba, Tencent และ Pinduoduo เป็นผู้ให้บริการด้านการตลาดออนไลน์ในประเทศจีนที่มีข้อมูลฐานลูกค้าทั่วประเทศและมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในโลก (ที่มา: Bloomberg, KraneShares ณ 31 ธ.ค. 63) 
 
ด้านคุณพรชนก กล่าวว่า สำหรับ 5 เทรนด์ยักษ์ใหญ่ของเศรษฐกิจจีนยุคใหม่ ทำให้เกิดโอกาสการลงทุนที่เปิดกว้างในภาคธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เติบโตล้อไปกับเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต และเพื่อให้นักลงทุนไม่พลาดโอกาสในการเกาะกระแสการเติบโตดังกล่าว บลจ. กรุงศรี จึงได้คัดเลือกกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ที่มีนโยบายการลงทุนที่สอดคล้องกับทิศทางการเติบโตดังกล่าวถึง 4 กองทุนเข้ามารวมไว้ในกองทุน KFCMEGA-A พร้อมกระจายการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ดีที่สุดไปกับ 5 เทรนด์ยักษ์ใหญ่ ได้แก่
1) พลังแห่งการบริโภคภายในประเทศ จากตลาดที่ประชากรกว่า 1,400 ล้านคนที่คาดว่าจะมีรายได้เติบโตอีกสองเท่าในปี 2573    (ที่มา: NBS, Morgan Stanley Research (E) estimates ณ ม.ค. 64) ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 14 ที่มีนโยบายส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ จะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล โดยเฉพาะตลาด e-commerce ของจีนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยยอดการใช้จ่ายทั้งด้านการซื้อของออนไลน์ การศึกษา บันเทิง และการท่องเที่ยวทีมีแนวโน้มเติบโตถึง 21% จาก 2,296 พันล้านดอลลาร์ เป็น 2,779 พันล้านดอลล่าร์ในระหว่างปี 2563    – 2564    จีนจึงเป็นตลาดที่มีโอกาสในการลงทุนมากที่สุด โดยกองทุนจะลงทุนใน Global X MSCI China Consumer Discretionary ETF  ในสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ 50% ของพอร์ต 
ที่มา: eMarketer ณ ธ.ค. 63

2) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ภาวะวิกฤติโควิดที่เกิดขึ้นในรอบปีที่ผ่านมานับว่าเป็นตัวเร่งให้เกิดความต้องการใช้งานด้านอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีอีกหลากหลายด้าน โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ 5G และอินเทอร์เน็ต รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับการใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อมุ่งไปสู่ความเป็น China 5.0 ได้แก่ Smart City, Health Tech, Fin Tech และ Ed Tech ทั้งนี้ จุดเด่นของเทคโนโลยีจีนคือการมีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ มีปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงถึงเกือบ 1 พันล้านรายทั่วประเทศ (ที่มา: CNNIC ณ มิ.ย. 63) สำหรับโอกาสการลงทุนในเทรนด์ธุรกิจนี้ บลจ.กรุงศรี ได้คัดเลือกกองทุน Invesco China Technology ETF ที่เน้นการลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโลยีของจีนมาไว้ในพอร์ต โดยมีสัดส่วนการลงทุนในส่วนนี้อยู่ 20%
ที่มา: Invesco ณ 31 มี.ค. 64​

3) เทรนด์สินค้าและบริการด้านสุขภาพ จากโครงสร้างประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น คาดว่าในปี 2568    จีนจะมีประชากรผู้สูงอายุมากถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลจีนมองว่าเป็นปัจจัยเร่งด่วนให้รัฐบาลหันมาใส่ใจการพัฒนา และแก้ปัญหาด้านสาธารณสุขซึ่งจะสร้างโอกาสการเติบโตให้กลุ่ม Healthcare และ Health Tech ทั้งนี้ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ตลาด Healthcare ของจีนมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในโลก เฉลี่ยถึง 11% ต่อปี มากกว่าสหรัฐซึ่งเติบโตเพียง 4% ต่อปีแต่การใช้จ่ายเพื่อสุขภาพของจีนยังคงต่ำกว่าในสหรัฐฯ (ที่มา: WHO ณ 7 เม.ย. 63 และ KraneShares) จึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สำหรับการลงทุนในกลุ่มนี้ จะลงทุนในกองทุน Krane Share MSCI World Healthcare Index ETF ด้วยสัดส่วน 10% ของพอร์ต
ที่มา: Frost & Sullivan, Joinn Laboratories, JP Morgan ณ พ.ค. 64​

4) เทรนด์ด้านพลังงานสะอาด รัฐบาลจีนเน้นให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเป้าหมายสำคัญควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว โดยมุ่งที่จะให้จีนเป็นประเทศปลอดคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2603 และแผนงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายดังกล่าว ได้แก่ การตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน การลงทุนเพื่อการปฏิรูปพลังงานของประเทศ โดยตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เพิ่มขึ้น 145% ภายในปี 2573
ที่มา: Tsinghua, J.P. Morgan estimates. ณ ม.ค. 64​

5) ระบบการขนส่งสมัยใหม่ จากการที่จีนมีเทคโนโลยีและมีอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโต กอปรกับนโยบายด้านพลังงานสะอาดของภาครัฐที่ส่งผลให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ที่ชาร์ตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า จึงคาดว่าความต้องการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะมีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต แม้ในปัจจุบันยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามีเพียง 1.3 ล้านคันต่อปี แต่คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 ยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 12 ล้านคันต่อปี และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวข้องก็มีโอกาสได้ผลประโยชน์จากนโยบายและแนวโน้มการเจริญเติบโตดังกล่าวด้วย
ที่มา:  Thinkercar, Credit Suisse estimates ณ ม.ค. 64​

สำหรับการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดและระบบขนส่งสมัยใหม่นั้น บลจ.กรุงศรีได้คัดเลือก KraneShares MSCI China Clean Technology Index ETF มาเป็นกองทุนที่จะลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เช่นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หรือที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ การป้องกันมลภาวะทางอากาศ และธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า โดยกองทุนจะลงทุนในธีมนี้ด้วยสัดส่วน 20% ของพอร์ต

สำหรับปัจจัยเสี่ยงอันเนื่องมาจากความเข้มงวดของรัฐบาลจีนที่ออกมาควบคุมภาคธุรกิจบางส่วนในช่วงที่ผ่านมา ดร.อาร์ม อธิบายว่าเป็นการกระทำเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างร้อนแรงเกินไป และเพื่อป้องกันการผูกขาดทางธุรกิจ คุ้มครองผู้บริโภค คุ้มครองแรงงาน รวมทั้งป้องกันความเสี่ยงทางการเงินเพื่อให้เกิดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว ตอนนี้ได้ผ่านพ้นช่วงของการคุมเข้มไปแล้ว เชื่อว่าต่อไปนี้การเติบโตจะเป็นไปอย่างแข็งแกร่งมากขึ้น 

คุณพรชนก กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวก่อนประเทศอื่น ขณะที่ตลาดหุ้นก็ปรับฐานลงก่อนประเทศอื่นเช่นกัน โดยตลาดหุ้นจีนได้มีการพักฐานมา 2 - 3 เดือน และช่วงนี้เริ่มฟื้นตัวขึ้นได้ หลังตลาดน่าจะรับรู้และเชื่อว่า ทางการจีนจะไม่กลับมาดำเนินนโยบายแบบเข้มงวด หรือรัดตัวแบบรุนแรง โดยตลาดหุ้นได้ตอบสนองความกังวลดังกล่าวไปมากแล้ว ระดับ valuation ของตลาดหุ้นจีนในขณะนี้ค่อนข้างถูกด้วย P/E เพียง 15 - 16 เท่า ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีต่อเนื่อง จึงมองว่าเป็นจังหวะที่น่าสนใจในการเข้าไปลงทุนในตลาดจีน 

ทั้งนี้ กองทุน KFCMEGA-A เป็นกองทุนที่สามารถลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนทั้งในตลาดจีน ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา โดยมีดัชนีอ้างอิง คือ MSCI China All Shares Index กองทุนมีกลยุทธ์ลงทุนใน 5 Megatrend ของจีน เป็นเทรนด์ในระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่น่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ในระยะยาว ขณะเดียวกันก็มีสไตล์การบริหารที่ยืดหยุ่น โดยมีโอกาสปรับเปลี่ยนธีมการลงทุนในอนาคตได้ หากมีธีมการลงทุนใหม่ๆ ที่มีความน่าสนใจ และมีโอกาสในการเติบโต ก็สามารถเพิ่มเข้ามาในพอร์ตการลงทุนได้ โดยกองทุนจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนทุกไตรมาสตามที่ผู้จัดการกองทุนเห็นสมควร 

สำหรับกองทุน KFCMEGA-A จะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน โดยปกติกองทุนจะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 90% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ เสนอขายครั้งแรกระหว่าง 7 - 15 มิถุนายน นี้ เงินลงทุนขั้นต่ำเริ่มต้นที่ 500 บาทเท่านั้น รับเพิ่ม หน่วยลงทุนกองทุน KFCMEGA-A มูลค่า 100 บาท เมื่อลงทุนทุกๆ 100,000 บาท (โปรดศึกษาเงื่อนไขเพิ่มเติม) ผู้สนใจสามารถซื้อกองทุนได้ที่สาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือตัวแทนสนับสนุนการขาย  และ บลจ. กรุงศรี ทุกช่องทาง (@ccess Online  และ @ccess Mobile) ในทุกวันทำการ

นโยายการลงทุนและคำเตือน
  • เอกสารนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูล แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
  • KFCMEGA-A ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวม ETF ต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนในประเทศจีน และ/หรือมีธุรกิจหลักหรือมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการประกอบธุรกิจในประเทศจีน ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนอย่างน้อย 2 กองทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ≥ 80% ของ NAV ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนในหน่วยลงทุนของแต่ละกองทุนจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสภาวะการลงทุนหรือการคาดการณ์สภาวะการลงทุนในแต่ละขณะ
  • ความเสี่ยงกองทุน: ระดับ 6 - เสี่ยงสูง | ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน โดยปกติกองทุนจะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 90% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ
  • กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก
  • กองทุนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

สอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่
บลจ.กรุงศรี จำกัด โทร. 02-657-5757 หรือธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา


ข้อมูลกองทุน KFCMEGA-A คลิกที่นี่
เอกสารประกอบเปิดด้วยโปรแกรม Acrobat Reader หากท่านไม่มีโปรแกรมดังกล่าว คลิกเพื่อ ดาวน์โหลด โปรแกรม (ไม่มีค่าใช้จ่าย)

ย้อนกลับ

ลงทุนในกองทุนรวมบลจ.กรุงศรี

บลจ.กรุงศรีมีกองทุนรวมหลายประเภทให้เลือกลงทุนสำหรับทุกเป้าหมายการลงทุน