กองทุนหุ้น Infra แห่งอนาคต พลังแห่งการเติบโตของพอร์ตการลงทุน

18 กุมภาพันธ์ 2564
 

บลจ. กรุงศรี แนะนำลงทุนหุ้นโครงสร้างพื้นฐานแนวคิดใหม่ เติบโตก้าวไกลไปกับโลกแห่งอนาคต กับกองทุนเปิด KFINFRA-A 

บลจ.กรุงศรี เปิดตัวกองทุน KFINFRA-A ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูงที่พร้อมเติบโต รองรับความเปลี่ยนแปลงสู่โลกแห่งอนาคต ที่จะถูกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมด้านต่างๆ เทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่และแนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อม เริ่ม IPO แล้วระหว่าง 15 - 23 กพ. นี้

กองทุน KFINFRA-A ลงทุนผ่าน Credit Suisse (Lux) Infrastructure Equity Fund กองทุนต่างประเทศระดับ 5 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์* กองทุนที่เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก พิสูจน์ด้วยผลงานที่โดดเด่น ชนะตลาดด้วยกลยุทธ์การลงทุนแบบเชิงรุก สามารถรักษาผลตอบแทนได้ดีเหนือกว่าตลาดหุ้นโลกแม้ในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 (*ที่มา: Morningstar ณ ธ.ค. 63 โดยการจัดอันดับดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนแต่อย่างใด)

เมื่อเร็วๆนี้ที่งานสัมมนาออนไลน์ คุณ Stefan Lutz ผู้อำนวยการและผู้เชี่ยวชาญจาก Credit Suisse พร้อมด้วยคุณเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ.กรุงศรี ได้มาร่วมกันให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวคิดใหม่ของการลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน ปัจจัยการเติบโต ความเสี่ยงและโอกาส กลยุทธ์ในการลงทุน ตลอดจนการคัดเลือกสินทรัพย์และผลงานการดำเนินงานที่ผ่านมา 

คุณเกียรติศักดิ์กล่าวว่า Next Generation Infrastructure เป็นธีมการลงทุนใหม่ที่นักลงทุนกำลังให้ความสนใจ และมีความแตกต่างไปจากการลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมๆ ที่มักเน้นการลงทุนในธุรกิจขนาดใหญ่ มีกระแสเงินสด มีความมั่นคง ไม่ผันผวนไปกับเศรษฐกิจ แต่ข้อเสียคือมักจะเติบโตช้า แต่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่จะมีความน่าสนใจในด้านศักยภาพการเติบโต เพราะจะเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่กำลังมีการพัฒนา และเติบโตไปกับกระแสโลกยุคใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมเมืองและยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารต่างๆ เช่น 5G, Internet of Things (IoT) และด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับแนวคิดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พลังงานทดแทนต่างๆ รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งทั้งสองแนวคิดดังกล่าวจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะขับเคลื่อนโลกในอนาคตต่อจากนี้

คุณ Stefan กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยที่จะช่วยเร่งให้เกิดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่มาจากการขับเคลื่อนนโยบายของทางภาครัฐเป็นสำคัญ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลในหลายๆ ประเทศทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย เริ่มมีการกำหนดนโยบายและทุ่มเทงบประมาณอย่างจริงจังเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น  นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประธาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐฯ การกำหนดนโยบาย Zero Carbon ที่เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาชาติของประเทศจีนในอีก 5 ปีข้างหน้า และอีกหลายประเทศในยุโรป มีการคาดการณ์ว่างบประมาณที่จะใช้ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ทั่วโลกนับจากนี้ไปอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่าสูงถึง 94 ล้านล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีมูลค่าราว 79 ล้านล้านเหรียญ จึงมีเม็ดเงินที่จะไหลเข้าภาคอุตสาหกรรมนี้อีกเป็นจำนวนมาก เป็นโอกาสสำหรับการลงทุน
ที่มา: Global infrastructure hub ณ ธ.ค. 63

สำหรับธีมการลงทุนในปัจจุบันของกองทุน Credit Suisse (Lux) Infrastructure Equity Fund จะมีอยู่ 3 แนวคิดที่สำคัญคือ 
1) การพัฒนาความเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) ซึ่งการการคาดการณ์ว่า ในปี 2050 ประมาณ 70% ของประชากรโลกจะอาศัยอยู่ในเมือง และความต้องการการใช้ข้อมูลและการใช้อุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์จะเพิ่มมากขึ้นอีกสิบเท่าจากปัจจุบันนี้ กองทุนจึงจะลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม เช่น เสาสัญญาณ 5G การเชื่อมโยงโครงข่ายอินเทอร์เนต (Internet of Things) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) เป็นต้น 
2) การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศ (Climate Change) กองทุนจะลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับพลังงานทดแทน เช่น     พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และการจัดการทรัพยากรเช่นน้ำและของเสีย การรีไซเคิล
3) โครงสร้างพื้นฐานทีเกี่ยวกับการคมนาคมขนส่งและการเดินทาง (Mobility) เช่น สนามบิน รถไฟ ท่าเรือ และสาธารณูปโภคต่างๆ รวมทั้งที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย One Belt, One Road ของประเทศจีนที่จะเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมในภูมิภาคด้วย
ที่มา: Credit Suisse ณ ไตรมาส 3 ปี 63

คุณเกียรติศักดิ์กล่าวว่า แนวคิดการลงทุนดังกล่าวทำให้พอร์ตของกองทุนมีความสมดุลในแง่ของการสร้างความเติบโต และยังการกระจายความเสี่ยงด้วยสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมที่มีความปลอดภัยและมีความมั่นคงสูง และรอโอกาสที่จะฟื้นตัวเมื่อวิกฤติโควิดผ่านพ้น เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับการเดินทางและขนส่ง ทั้งนี้ กองทุนหลักให้น้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ทั้งสองประเภทในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน 

กลยุทธ์ในการบริหารกองทุนคือการให้ความสำคัญกับการคัดเลือกหุ้นรายตัวจากการวิเคราะห์ปัจจัยด้านพื้นฐาน (Bottom-Up) ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ในเชิงมหภาค (Top-Down) โดยมีการกระจายการลงทุนไปในทุกภูมิภาคทั่วโลก แต่ยังคงเน้นในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาและประเทศแถบยุโรปประมาณ 80% และกระจายการการลงทุนไปยังประเทศเกิดใหม่อีก 20% รวมทั้งประเทศจีน โดยมีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามธีมการลงทุนของกองทุน 

ปัจจุบัน พอร์ตการลงทุนมีการกระจายการลงทุนในภาคธุรกิจต่างๆ ได้แก่ สาธารณูปโภค โทรคมนาคม การเดินทางและขนส่ง  และพลังงานทางเลือก สินทรัพย์เด่นๆ ที่กองทุนถืออยู่ในพอร์ตได้แก่ American Tower Corp ผู้วางระบบเสาสัญญาณไร้สายระดับโลก, Cellnex บริษัทเสาสัญญาณโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในยุโรป, Guangdong Investment ผู้ผลิตและให้บริการส่งจ่าย น้ำ พลังงาน และไฟฟ้ารายใหญ่ของจีน, Nextera ผู้ผลิตพลังงานลมและแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ทีสุดในโลก เป็นต้น
ที่มา: Credit Suisse ณ 31 ธ.ค. 63 | คำจำกัดความด้านขนาดสินทรัพย์: Super Large Caps: >CHF 60 bn, Large Caps: > CHF 10 bn < CHF 60 bn, Mid Caps: > CHF 2.5 bn < CHF 10 bn, Small Caps < CHF 2.5 bn

นอกจากนี้ จุดเด่นของ Credit Suisse คือการบริหารพอร์ตแบบเชิงรุก มีการปรับเปลี่ยนพอร์ตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ด้วยแนวคิดการลงทุนดังกล่าว ทำให้กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและเหนือกว่าตลาดแม้ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2020 ทีผ่านมา กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 22% เหนือกว่าตลาดหุ้นโลกที่ทำผลตอบแทนได้ประมาณ 16% สำหรับปัจจัยความเสี่ยงของกองทุนที่อาจมี ได้แก่ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐ และการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งกองทุนเชื่อว่าจะเป็นไปได้ยากในสถานการณ์ปัจจุบัน   (ที่มา: Credit Suisse ณ 31 ธ.ค. 63 (ข้อมูลของ retail share class ในขณะที่กองทุน KFIFNRA-A จะลงทุนใน IB USD share class)
สำหรับ สถานการณ์ในปัจจุบัน Credit Suisse คาดว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาวัคซีน จะทำให้เป็นโอกาสในการลงทุนโครงการพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมขนส่งอีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันยังมีราคาถูก เมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ เป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าลงทุน 

คุณเกียรติศักดิ์กล่าวว่าสินทรัพย์โครงสร้างในปัจจุบันยังมีราคาไม่แพง มีระดับ P/E อยู่ที่ 10-13 เท่า จึงมีโอกาสอีกมากสำหรับการเติบโตและสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีในระยะกลางถึงระยะยาว 

สำหรับกองทุน KFINFRA-A มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน เสนอขายครั้งแรก ระหว่าง 15 - 23 กพ. นี้ เงินลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกเริ่มต้นที่ 500 บาทเท่านั้น ผู้สนใจสามารถซื้อได้ที่สาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยา    หรือตัวแทนสนับสนุนการขาย  และ บลจ. กรุงศรี ทุกช่องทาง (@ccess Online  และ @ccess Mobile)

คำเตือน
  • เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูล แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
  • KFINFRA-A ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ Credit Suisse (Lux) Infrastructure Equity Fund, Class IB USD (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนและหลักทรัพย์อื่นๆ ที่มีลักษณะในทำนองเดียวกันกับตราสารทุนที่ออกโดยบริษัทที่มีกิจการเกี่ยวข้องกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ อย่างน้อย 2 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน
  • KFINFRA-A ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ซึ่งอาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น | กองทุนมีระดับความเสี่ยง 6: เสี่ยงสูง
  • ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

สามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่
บลจ.กรุงศรี จำกัด โทร. 02-657-5757 หรือธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา


ข้อมูลกองทุน KFINFRA-A คลิกที่นี่
เอกสารประกอบเปิดด้วยโปรแกรม Acrobat Reader หากท่านไม่มีโปรแกรมดังกล่าว คลิกเพื่อ ดาวน์โหลด โปรแกรม (ไม่มีค่าใช้จ่าย)

ย้อนกลับ

ลงทุนในกองทุนรวมบลจ.กรุงศรี

บลจ.กรุงศรีมีกองทุนรวมหลายประเภทให้เลือกลงทุนสำหรับทุกเป้าหมายการลงทุน